Social Icons

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคและการป้องกัน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคและการป้องกัน แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง


รูปภาพ : วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ก็มักจะเกิดปัญหาของข้อกระดูกหลังเสื่อม ตั้งแต่กระดูกช่วงคอ กระดูกช่วงอก จรดกระดูกบั้นเอว ตลอดจนข้อต่อของแขนขา สัญญาณที่ข้อต่อของกระดูกเริ่มเสื่อม คือ อาการปวดข้อซึ่งเริ่มปรากฏชัดขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น การที่ข้อต่อเริ่มเสื่อมในอายุ 40 ปีขึ้นไปนั้น ความจริงเป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับสัจธรรมที่ตราบใดมีสิ่งมีชีวิต มนุษย์ย่อมต้องมีการแก่เจ็บและตายในที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเราใช้ข้อต่อเหล่านี้อย่างไม่ปรานีในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เรากระโดดโลดเต้นไม่หยุดยั้ง นั่งตัวเบี้ยวในท่าใดท่าหนึ่งนานนับเป็นชั่วโมง ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานในการขายของหรือสอนหนังสือหรือทำงานต่างๆ เขียนหนังสือในท่าก้มเกือบทั้งวัน

ลองนึกว่า ถ้าร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ เมื่อซื้อมาใหม่ๆ ไม่ถึง 2 ปีย่อมเริ่มมีการซ่อมแซม และถ้ารถยนต์คันนั้นมีอายุถึง 10 ปี 20 ปี คงมีสภาพเสื่อมโทรมจนยากที่จะซ่อมแซมยกเครื่องอีกต่อไป แต่เหตุไฉนร่างกายของเราจึงเริ่มมีอาการเสื่อมเมื่ออายุเข้าสู่วัยกลางคนเล่า ถ้ามิใช่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ร่างกายจึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสิ่งที่ใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายอยู่ได้นานนับ 40 ปี และยังจะต้องอยู่ต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี 80 ปี หรืออาจถึง 100 ปีก็ได้ ถ้าความสามารถในการซ่อมแซมยังคงดำเนินกันต่อๆ ไปได้

การที่ข้อต่อเสื่อมเร็วกว่าปกตินั้น เกิดจากการใช้ข้อต่อเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง มีท่าทางและอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในท่าทำงาน ข้อต่อ ประกอบด้วยปลายกระดูกแข็ง 2 ชิ้นที่มีกระดูกอ่อนบุอยู่มาชนกัน โดยมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อและภายในพังผืดหุ้มข้อ คอยให้อาหารและป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อนั้น กระดูกอ่อนทำหน้าที่รองรับน้ำหนักเช่นเดียวกันกับโช๊คอัพของรถยนต์ และเนื่องจากไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง แก๊สออกซิเจนและอาหารต่างๆต้องอาศัยการซึมผ่านน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อเข้าไป การซึมผ่านของอาหารนั้นต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้นอย่างสม่ำเสมอและไม่หักโหมเกินไป ดังนั้น การที่ข้อต่ออยู่นิ่งๆ ข้อต่อจะเสื่อมเร็วขึ้นเพราะขาดอาหาร หรืออีกประการหนึ่ง ถ้าน้ำหนักตัวไปกดข้อต่อมากเกินไป อาหารต่างๆ จะไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน การบริหารข้อต่อต่างๆทั่วร่างกายสามารถทำได้ทุกชั่วโมง โดยทำครั้งละ 5 นาทีเท่านั้น วิธีการที่ควรปฏิบัติตามมี ดังนี้ 
 

1. ส่วนที่บริหาร : คอ

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงคอ ซ้าย – ขวา

2. ก้มลงให้คางชิดอกแล้วเงยหน้าขึ้น (เท่าที่ทำได้โดยไม่รู้สึกปวดต้นคอ)

3. หันหน้าไปทางไหล่ ซ้าย – ขวา

4. หมุนศีรษะเป็นวงกลม โดยหันหน้าไปทางไหล่ซ้าย เงยหน้าขึ้น แล้วหมุนศีรษะไปทางไหล่ขวา ก้มคอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมุนสลับข้างกัน

5. ยื่นคอและคางไปข้างหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเก็บคางเข้า

จำนวน : แต่ละท่าทำ 5-10 ครั้ง


2. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และสะบัก

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง นิ้วมือแตะอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง

ท่าบริหาร : หมุนไหล่โดยยกขึ้นงุ้มมาข้างหน้า ปล่อยไหล่ลงแล้วแบะไปข้างหลัง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


3. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และแขน

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร : หมุนต้นแขนไขว้เข้ามาอยู่ด้านหน้า กำมือ กระดกข้อมือลง พร้อมกับหายใจออกช้าๆ แล้วหมุนต้นแขนออก กางแขน เหยียดข้อศอกกระดกข้อมือขึ้น กางนิ้วมือทั้ง 5 พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ

จำนวน : ทำข้างละ 5-10 ครั้ง

 
4. ส่วนที่บริหาร : บั้นเอว

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงตัว ซ้าย – ขวา โดยเอามือเท้าสะเอวข้างที่เอียงไป แขนอีกข้างหนึ่งชูเหนือศีรษะ

2. มือทั้งสองข้างอยู่บริเวณสะโพกด้านหลัง แอ่นลำตัวไปข้างหลังเต็มที่

จำนวน : ทำท่าละ 5-10 ครั้ง

 
5. ส่วนที่บริหาร : สะโพกและขา

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง มือเท้าสะเอว หรือจับโต๊ะ

ท่าบริหาร : งอข้อสะโพก หุบขาเข้า หมุนขาออก งอเข่า กระดกปลายเท้าขึ้นแล้วเหยียดข้อสะโพก กางขาออก หมุนขาเข้า เหยียดเข่ากระดกปลายเท้าลง

จำนวน : 5-10 ครั้ง
 

6. ส่วนที่บริหาร : กระดูกสันหลัง ส่วนคอ อก และเอว

ท่าเริ่มต้น : นั่งเก้าอี้

ท่าบริหาร : นั่งหลังโกง (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 0%) จากนั้นให้นั่งยืดตัวและแอ่นตัวเต็มที่ (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 100%) แล้วหย่อนตัวลงหน่อย (110%) พร้อมเก็บคางเข้า

จำนวน : 5-10 ครั้ง

สำหรับท่านั่งที่เหมาะสม คือ จากท่านั่งแบบ 100% แล้วหย่อนตัวลงมาเล็กน้อย

http://www.doctor.or.th/article/detail/4459

วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ก็มักจะเกิดปัญหาของข้อกระดูกหลังเสื่อม ตั้งแต่กระดูกช่วงคอ กระดูกช่วงอก จรดกระดูกบั้นเอว ตลอดจนข้อต่อของแขนขา สัญญาณที่ข้อต่อของกระดูกเริ่มเสื่อม คือ อาการปวดข้อซึ่งเริ่มปรากฏชัดขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น การที่ข้อต่อเริ่มเสื่อมในอายุ 40 ปีขึ้นไปนั้น ความจริงเป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับสัจธรรมที่ตราบใดมีสิ่งมีชีวิต มนุษย์ย่อมต้องมีการแก่เจ็บและตายในที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเราใช้ข้อต่อเหล่านี้อย่างไม่ปรานีในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เรากระโดดโลดเต้นไม่หยุดยั้ง นั่งตัวเบี้ยวในท่าใดท่าหนึ่งนานนับเป็นชั่วโมง ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานในการขายของหรือสอนหนังสือหรือทำงานต่างๆ เขียนหนังสือในท่าก้มเกือบทั้งวัน

ลองนึกว่า ถ้าร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ เมื่อซื้อมาใหม่ๆ ไม่ถึง 2 ปีย่อมเริ่มมีการซ่อมแซม และถ้ารถยนต์คันนั้นมีอายุถึง 10 ปี 20 ปี คงมีสภาพเสื่อมโทรมจนยากที่จะซ่อมแซมยกเครื่องอีกต่อไป แต่เหตุไฉนร่างกายของเราจึงเริ่มมีอาการเสื่อมเมื่ออายุเข้าสู่วัยกลางคนเล่า ถ้ามิใช่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ร่างกายจึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสิ่งที่ใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายอยู่ได้นานนับ 40 ปี และยังจะต้องอยู่ต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี 80 ปี หรืออาจถึง 100 ปีก็ได้ ถ้าความสามารถในการซ่อมแซมยังคงดำเนินกันต่อๆ ไปได้

การที่ข้อต่อเสื่อมเร็วกว่าปกตินั้น เกิดจากการใช้ข้อต่อเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง มีท่าทางและอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในท่าทำงาน ข้อต่อ ประกอบด้วยปลายกระดูกแข็ง 2 ชิ้นที่มีกระดูกอ่อนบุอยู่มาชนกัน โดยมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อและภายในพังผืดหุ้มข้อ คอยให้อาหารและป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อนั้น กระดูกอ่อนทำหน้าที่รองรับน้ำหนักเช่นเดียวกันกับโช๊คอัพของรถยนต์ และเนื่องจากไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง แก๊สออกซิเจนและอาหารต่างๆต้องอาศัยการซึมผ่านน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อเข้าไป การซึมผ่านของอาหารนั้นต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้นอย่างสม่ำเสมอและไม่หักโหมเกินไป ดังนั้น การที่ข้อต่ออยู่นิ่งๆ ข้อต่อจะเสื่อมเร็วขึ้นเพราะขาดอาหาร หรืออีกประการหนึ่ง ถ้าน้ำหนักตัวไปกดข้อต่อมากเกินไป อาหารต่างๆ จะไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน การบริหารข้อต่อต่างๆทั่วร่างกายสามารถทำได้ทุกชั่วโมง โดยทำครั้งละ 5 นาทีเท่านั้น วิธีการที่ควรปฏิบัติตามมี ดังนี้


1. ส่วนที่บริหาร : คอ

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงคอ ซ้าย – ขวา

2. ก้มลงให้คางชิดอกแล้วเงยหน้าขึ้น (เท่าที่ทำได้โดยไม่รู้สึกปวดต้นคอ)

3. หันหน้าไปทางไหล่ ซ้าย – ขวา

4. หมุนศีรษะเป็นวงกลม โดยหันหน้าไปทางไหล่ซ้าย เงยหน้าขึ้น แล้วหมุนศีรษะไปทางไหล่ขวา ก้มคอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมุนสลับข้างกัน

5. ยื่นคอและคางไปข้างหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเก็บคางเข้า

จำนวน : แต่ละท่าทำ 5-10 ครั้ง


2. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และสะบัก

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง นิ้วมือแตะอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง

ท่าบริหาร : หมุนไหล่โดยยกขึ้นงุ้มมาข้างหน้า ปล่อยไหล่ลงแล้วแบะไปข้างหลัง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


3. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และแขน

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร : หมุนต้นแขนไขว้เข้ามาอยู่ด้านหน้า กำมือ กระดกข้อมือลง พร้อมกับหายใจออกช้าๆ แล้วหมุนต้นแขนออก กางแขน เหยียดข้อศอกกระดกข้อมือขึ้น กางนิ้วมือทั้ง 5 พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ

จำนวน : ทำข้างละ 5-10 ครั้ง


4. ส่วนที่บริหาร : บั้นเอว

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงตัว ซ้าย – ขวา โดยเอามือเท้าสะเอวข้างที่เอียงไป แขนอีกข้างหนึ่งชูเหนือศีรษะ

2. มือทั้งสองข้างอยู่บริเวณสะโพกด้านหลัง แอ่นลำตัวไปข้างหลังเต็มที่

จำนวน : ทำท่าละ 5-10 ครั้ง


5. ส่วนที่บริหาร : สะโพกและขา

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง มือเท้าสะเอว หรือจับโต๊ะ

ท่าบริหาร : งอข้อสะโพก หุบขาเข้า หมุนขาออก งอเข่า กระดกปลายเท้าขึ้นแล้วเหยียดข้อสะโพก กางขาออก หมุนขาเข้า เหยียดเข่ากระดกปลายเท้าลง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


6. ส่วนที่บริหาร : กระดูกสันหลัง ส่วนคอ อก และเอว

ท่าเริ่มต้น : นั่งเก้าอี้

ท่าบริหาร : นั่งหลังโกง (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 0%) จากนั้นให้นั่งยืดตัวและแอ่นตัวเต็มที่ (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 100%) แล้วหย่อนตัวลงหน่อย (110%) พร้อมเก็บคางเข้า

จำนวน : 5-10 ครั้ง

สำหรับท่านั่งที่เหมาะสม คือ จากท่านั่งแบบ 100% แล้วหย่อนตัวลงมาเล็กน้อย

โรคโลหิตจาง (Anemia)


รูปภาพ : โรคโลหิตจาง (Anemia) 

อาการหน้าซีด ตัวซีด เป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งของโรคโลหิตจาง มาดูลักษณะอาการที่แท้จริง สาเหตุและการแก้ไขอีกครั้ง

    โลหิตจาง คือการที่เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ นั่นคือระดับค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตรในผู้ชาย หรือ 12 กรัม/เดซิลิตร ในผู้หญิง ถ้าคิดเป็นค่าฮีมาโตคริต คือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 %ในผู้ชาย และต่ำกว่า 36 %ในผู้หญิง
 
 
    ฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำพาออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ตลอดจนแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการขนเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ถ้าฮีโมโกลบินมีจำนวนน้อยไป จะทำให้เนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และเกิดการสะสมคั่งค้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย

    อาการที่สำคัญของภาวะโลหิตจาง คือ ตัวซีดเหลือง มีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย มึนงงศีรษะ รู้สึกหน้ามืด บางรายหากโลหิตจางมาก ๆ อาจะเป็นลมหมดสติ หัวใจทำงานหนักจนหัวใจวายได้

    ส่วนสาเหตุของโลหิตจางที่พบได้บ่อยนั้น ได้แก่

- ซีดจากการสูญเสียเลือด มาจากการสูญเสียเลือดในปริมาณมากกว่า 1 ใน 3 จากอุบัติเหตุ หรือแผลในกระเพาะอาหาร ประจำเดือน หรืออาจมาจากโรคที่ทำให้มีการเสียเลือด ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคริดสีดวงทวาร โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งโรคเหล่านี้จะมีอาการเลือดออกจากทางเดินอาหาร ซึ่งจะเห็นได้จากเวลาถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปนออกมาหรือถ่ายดำ หรือสาเหตุที่พบบ่อยอีกอย่าง คือ การทานยาแก้ปวดแก้เมื่อยเป็นประจำ แล้วยาระคายกระเพาะอาหาร ทำให้อักเสบ มีแผลเกิดเลือดออกได้

- ซีดจากการขาดสารอาหาร ทั้งในเด็กและผู้สูงอายุ โดยสารอาหารตัวสำคัญคือ ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก ซึ่งอาจเกิดจากการเบื่ออาหาร มีโรคประจำตัวบางอย่าง เลือกรับประทานอาหาร เป็นต้น

- ซีดจากโรคเรื้องรัง เช่น ไตวาย โรตับ ข้ออักเสบ เป็นต้น ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้น้อยกว่าปกติ หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกเสื่อม เป็นต้น

- ภาวะเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ ส่งผลให้ม้ามทำลายเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นเสีย ซึ่งถ้าหากเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นมีรูปร่างผิดปกติเป็นจำนวนมาก ก็จะถูกทำลายสูง ร่างกายก็จะมีเม็ดเลือดแดงลดลง นอกจากนี้ความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหาร ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางขึ้นได้

    โลหิตจางเพราะขาดสารอาหาร

     เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

1.โลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด สาเหตุมาจาก

- ร่างกายต้องการธาตุเหล็กในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเจริญเติบโตสูงสุดของทารก และวัยรุ่น ในหญิงตั้งครรภ์ และสตรีที่ให้นมบุตร

- การบริโภคอาหารที่ขาดธาตุเหล็กเป็นประจำ

- การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง (พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ) เนื่องจากมีการหลั่งของกรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในกระเพาะอาหารลดลง ท้องเสียเรื้อรัง การกินยาลดกรดในกระเพาะ

- การสูญเสียเลือดจากประจำเดือน แผลในกระเพาะอาหาร

    ผลกระทบต่อร่างกาย คือ ทำให้เนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และเอนไซม์ที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบทำงานได้ไม่เต็มที่ มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเรียนรู้ และระดับพลังงานลดลง

    วิธีแก้ “ตับ” เป็นแหล่งอาหารที่ดีสุดของผู้ที่มี่ภาวะโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กและวิตามินบีในปริมาณที่สูง จึงสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีภาวะโลหิตจางได้ทุกประเภท แต่ก็ยังมีอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กอื่น ๆ อีก ได้แก่ ผักสีเขียวเข้ม ถั่วแห้ง เนื้อไม่มีมัน เครื่องใน ผลไม้แห้ง อัลมอนด์ สัตว์น้ำมีเปลือก เช่น กุ้ง ปู หอย เป็นต้น อย่างไรก็ดี อาหารบางประเภทอาจไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้ จึงควรหลีกเลี่ยง ชา กาแฟ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือการบริโภคแคลเซียมเสริมมากเกินไป
 
2.โลหิตจางเนื่องจากขาดวิตามินบี 12สาเหตุ ได้แก่

- ความผิดปกติในการดูดซึมวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยกว่าการบริโภคอาหารที่ขาดวิตามินบี 12 

- การบริโภคอาหารที่ขาดวิตามินบี 12 โดยจะพบในผู้ที่ทานมังสวิรัติที่ไม่กินแม้แต่นมหรือไข่เลย ผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 จะไม่ปรากฏอาการในทันที เนื่องจากร่างกายจะสะสมวิตามินบี 12 ไว้ที่ตับและไต ดังนั้นอาการจะปรากฏหลังจากนั้น 5 ปี
   
    อาการที่เกิดขึ้นจากการขาดวิตามินบี 12 นั้น ได้แก่ ซีด เหนื่อยง่าย หายใจสั้น ๆ ลิ้นบวมเป็นแผลเจ็บ ท้องเสีย มีผลกระทบต่อระบบหัวใจและประสาท มีอาการชา เจ็บแปล๊บ ๆ ที่แขนและขา มีภาวะอัลไซเมอร์

    วิธีแก้ไข แหล่งของวิตามินบี 12 ส่วนใหญ่จะมาจากสัตว์ อาหารที่มีวิตามินบี 12 เยอะที่สุด คือ ตับและไต รองลงมาคือ ไข่ ปลาชีส เนื้อสัตว์ และสำหรับผู้ที่กินมังสวิรัติ จะได้รับวิตามินบี 12 จากอาหารหมักประเภท tempeh miso

3.โลหิตจางเนื่องจากขาดกรดโฟลิก สาเหตุสำคัญ ได้แก่

- การดื่มสุรา แอลกอฮอล์จะขัดขวางการดูดซึมของกรดโฟลิก ตลอดจนขบวนการเผาผลาญของกรดโฟลิก

- ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายต้องการโฟลิกในปริมาณมากเพื่อใช้สร้างอวัยวะเด็ก

- ยา เช่น ยารักษามะเร็ง ยารักษาลมชัก ยาคุมกำเนิดชนิดกิน

- ภาวะท้องเสียเรื้อรัง ทำให้เกิดความผิดปกติในการดูดซึมอาหาร

    อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะเหมือนกับผู้ที่มีโลหิตจางทั่วไป แต่จะมีอาการท้องเสีย หดหู่ และซึมเศร้าร่วมด้วย

    สามารถแก้ไขได้ ด้วยการบริโภคอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง ได้แก่ ตับ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วแห้ง ผักใบเขียวเข้ม เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สำหรับผักผลไม้ ควรรับประทานสดจะทำให้ได้รับโฟลิกอย่างเต็มที่

     รู้สาเหตุกันไปแล้ว ถ้าไม่อยากให้ภาวะเกิดโลหิตจางเกิดขึ้น ก็ต้องหาทางป้องกัน แต่หากเป็นแล้วก็มีวิธีการแก้ไขเช่นกัน

- ไม่รับประทานยาชุด แก้ปวดเมื่อย แก้อักเสบ ยาหม้อ ยาลูกกลอน เนื่องจากยาเหล่านี้มักระคายกระเพาะอาหาร ทำให้มีการปวดเสียดท้อง ท้องอืด เลือดออกในกระเพาะ ไปจนถึงกระเพาะอาหารทะลุได้

- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ไต เมล็ดธัญพืช ได้แก่ ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย เป็นต้น

- หากมีอาการปวด เสียดแน่นท้อง ขับถ่ายอุจจาระผิดไปจากเดิม ถ่ายดำหรือมีเลือดปน เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เลือกออกตามไรฟัน เลือดกำเดาออกเรื้อรัง จ้ำเลือดออกตามตัว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

- ถ้ามีอาการสงสัยว่าเป็นโรคหิตจาง ควรไปตรวจยืนยันและแพทย์ต้องตรวจหาสาเหตุเสมอว่าทำไมถึงโลหิตจาง จากนั้นจึงรักษาตามสาเหตุ และแพทย์อาจจะให้ยาบำรุงเลือดมาทานด้วย

   อย่าลืมใส่ใจตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณ

http://www.never-age.com/673-1-โรคโลหิตจาง%20(Anemia).html

โรคโลหิตจาง (Anemia) 

อาการหน้าซีด ตัวซีด เป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งของโรคโลหิตจาง มาดูลักษณะอาการที่แท้จริง สาเหตุและการแก้ไขอีกครั้ง

โลหิตจาง คือการที่เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ นั่นคือระดับค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตรในผู้ชาย หรือ 12 กรัม/เดซิลิตร ในผู้หญิง ถ้าคิดเป็นค่าฮีมาโตคริต คือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 %ในผู้ชาย และต่ำกว่า 36 %ในผู้หญิง


ฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำพาออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ตลอดจนแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการขนเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ถ้าฮีโมโกลบินมีจำนวนน้อยไป จะทำให้เนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และเกิดการสะสมคั่งค้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย

อาการที่สำคัญของภาวะโลหิตจาง คือ ตัวซีดเหลือง มีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย มึนงงศีรษะ รู้สึกหน้ามืด บางรายหากโลหิตจางมาก ๆ อาจะเป็นลมหมดสติ หัวใจทำงานหนักจนหัวใจวายได้

ส่วนสาเหตุของโลหิตจางที่พบได้บ่อยนั้น ได้แก่

- ซีดจากการสูญเสียเลือด มาจากการสูญเสียเลือดในปริมาณมากกว่า 1 ใน 3 จากอุบัติเหตุ หรือแผลในกระเพาะอาหาร ประจำเดือน หรืออาจมาจากโรคที่ทำให้มีการเสียเลือด ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคริดสีดวงทวาร โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งโรคเหล่านี้จะมีอาการเลือดออกจากทางเดินอาหาร ซึ่งจะเห็นได้จากเวลาถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปนออกมาหรือถ่ายดำ หรือสาเหตุที่พบบ่อยอีกอย่าง คือ การทานยาแก้ปวดแก้เมื่อยเป็นประจำ แล้วยาระคายกระเพาะอาหาร ทำให้อักเสบ มีแผลเกิดเลือดออกได้

- ซีดจากการขาดสารอาหาร ทั้งในเด็กและผู้สูงอายุ โดยสารอาหารตัวสำคัญคือ ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก ซึ่งอาจเกิดจากการเบื่ออาหาร มีโรคประจำตัวบางอย่าง เลือกรับประทานอาหาร เป็นต้น

- ซีดจากโรคเรื้องรัง เช่น ไตวาย โรตับ ข้ออักเสบ เป็นต้น ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้น้อยกว่าปกติ หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกเสื่อม เป็นต้น

- ภาวะเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ ส่งผลให้ม้ามทำลายเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นเสีย ซึ่งถ้าหากเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นมีรูปร่างผิดปกติเป็นจำนวนมาก ก็จะถูกทำลายสูง ร่างกายก็จะมีเม็ดเลือดแดงลดลง นอกจากนี้ความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหาร ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางขึ้นได้

โลหิตจางเพราะขาดสารอาหาร

เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

1.โลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก เป็นภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด สาเหตุมาจาก

- ร่างกายต้องการธาตุเหล็กในปริมาณที่เพิ่มขึ้น จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเจริญเติบโตสูงสุดของทารก และวัยรุ่น ในหญิงตั้งครรภ์ และสตรีที่ให้นมบุตร

- การบริโภคอาหารที่ขาดธาตุเหล็กเป็นประจำ

- การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง (พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ) เนื่องจากมีการหลั่งของกรดเกลือ (กรดไฮโดรคลอริก) ในกระเพาะอาหารลดลง ท้องเสียเรื้อรัง การกินยาลดกรดในกระเพาะ

- การสูญเสียเลือดจากประจำเดือน แผลในกระเพาะอาหาร

ผลกระทบต่อร่างกาย คือ ทำให้เนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และเอนไซม์ที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบทำงานได้ไม่เต็มที่ มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเรียนรู้ และระดับพลังงานลดลง

วิธีแก้ “ตับ” เป็นแหล่งอาหารที่ดีสุดของผู้ที่มี่ภาวะโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็กและวิตามินบีในปริมาณที่สูง จึงสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีภาวะโลหิตจางได้ทุกประเภท แต่ก็ยังมีอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กอื่น ๆ อีก ได้แก่ ผักสีเขียวเข้ม ถั่วแห้ง เนื้อไม่มีมัน เครื่องใน ผลไม้แห้ง อัลมอนด์ สัตว์น้ำมีเปลือก เช่น กุ้ง ปู หอย เป็นต้น อย่างไรก็ดี อาหารบางประเภทอาจไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้ จึงควรหลีกเลี่ยง ชา กาแฟ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือการบริโภคแคลเซียมเสริมมากเกินไป

2.โลหิตจางเนื่องจากขาดวิตามินบี 12สาเหตุ ได้แก่

- ความผิดปกติในการดูดซึมวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยกว่าการบริโภคอาหารที่ขาดวิตามินบี 12

- การบริโภคอาหารที่ขาดวิตามินบี 12 โดยจะพบในผู้ที่ทานมังสวิรัติที่ไม่กินแม้แต่นมหรือไข่เลย ผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 จะไม่ปรากฏอาการในทันที เนื่องจากร่างกายจะสะสมวิตามินบี 12 ไว้ที่ตับและไต ดังนั้นอาการจะปรากฏหลังจากนั้น 5 ปี

อาการที่เกิดขึ้นจากการขาดวิตามินบี 12 นั้น ได้แก่ ซีด เหนื่อยง่าย หายใจสั้น ๆ ลิ้นบวมเป็นแผลเจ็บ ท้องเสีย มีผลกระทบต่อระบบหัวใจและประสาท มีอาการชา เจ็บแปล๊บ ๆ ที่แขนและขา มีภาวะอัลไซเมอร์

วิธีแก้ไข แหล่งของวิตามินบี 12 ส่วนใหญ่จะมาจากสัตว์ อาหารที่มีวิตามินบี 12 เยอะที่สุด คือ ตับและไต รองลงมาคือ ไข่ ปลาชีส เนื้อสัตว์ และสำหรับผู้ที่กินมังสวิรัติ จะได้รับวิตามินบี 12 จากอาหารหมักประเภท tempeh miso

3.โลหิตจางเนื่องจากขาดกรดโฟลิก สาเหตุสำคัญ ได้แก่

- การดื่มสุรา แอลกอฮอล์จะขัดขวางการดูดซึมของกรดโฟลิก ตลอดจนขบวนการเผาผลาญของกรดโฟลิก

- ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากร่างกายต้องการโฟลิกในปริมาณมากเพื่อใช้สร้างอวัยวะเด็ก

- ยา เช่น ยารักษามะเร็ง ยารักษาลมชัก ยาคุมกำเนิดชนิดกิน

- ภาวะท้องเสียเรื้อรัง ทำให้เกิดความผิดปกติในการดูดซึมอาหาร

อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะเหมือนกับผู้ที่มีโลหิตจางทั่วไป แต่จะมีอาการท้องเสีย หดหู่ และซึมเศร้าร่วมด้วย

สามารถแก้ไขได้ ด้วยการบริโภคอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง ได้แก่ ตับ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วแห้ง ผักใบเขียวเข้ม เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ สำหรับผักผลไม้ ควรรับประทานสดจะทำให้ได้รับโฟลิกอย่างเต็มที่

รู้สาเหตุกันไปแล้ว ถ้าไม่อยากให้ภาวะเกิดโลหิตจางเกิดขึ้น ก็ต้องหาทางป้องกัน แต่หากเป็นแล้วก็มีวิธีการแก้ไขเช่นกัน

- ไม่รับประทานยาชุด แก้ปวดเมื่อย แก้อักเสบ ยาหม้อ ยาลูกกลอน เนื่องจากยาเหล่านี้มักระคายกระเพาะอาหาร ทำให้มีการปวดเสียดท้อง ท้องอืด เลือดออกในกระเพาะ ไปจนถึงกระเพาะอาหารทะลุได้

- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนและอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ไต เมล็ดธัญพืช ได้แก่ ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย เป็นต้น

- หากมีอาการปวด เสียดแน่นท้อง ขับถ่ายอุจจาระผิดไปจากเดิม ถ่ายดำหรือมีเลือดปน เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เลือกออกตามไรฟัน เลือดกำเดาออกเรื้อรัง จ้ำเลือดออกตามตัว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

- ถ้ามีอาการสงสัยว่าเป็นโรคหิตจาง ควรไปตรวจยืนยันและแพทย์ต้องตรวจหาสาเหตุเสมอว่าทำไมถึงโลหิตจาง จากนั้นจึงรักษาตามสาเหตุ และแพทย์อาจจะให้ยาบำรุงเลือดมาทานด้วย

อย่าลืมใส่ใจตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณ

เห็ดหูหนูดำป้องกันหลอดเลือดอุดตัน


รูปภาพ : เห็ดหูหนูดำป้องกันหลอดเลือดอุดตัน

เมื่อพูดถึงการป้องกันหลอดเลือดอุดตัน เรามักคิดถึงการแก้ไขปัญหาที่อาหารการกินเป็นอันดับแรก
   นั่นป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะอาหารบางประเภทคือที่มาของอาการหลอดเลือดอุดตัน และแน่นอนว่าอาหารบางประเภทก็เป็นทางออกของปัญหานี้เช่นกัน

   “เห็ดหูหนูดำ” ที่เราคุ้นเคยนั่นเองที่เป็นพระเอกมาช่วยแก้อาการร้ายๆนี้ เห็ดหูหนูดำมีสารอาหารหลายตัวรวมไปถึง “อะดีโนซีน” สารตัวเดียวกับที่มีในกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ซึ่งช่วยลดความเหนียวข้นของเลือด ทำให้เลือดไม่เป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง หรือเส้นเลือดที่อวัยวะอื่นๆ 

   เห็ดหูหนูดำกินง่ายและรสชาติเป็นที่ถูกปาก สามารถนำมาทำอาหารได้สารพัดเมนู ทั้งแกงจืด ผัด ยำ คนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอาการหลอดเลือดอุดตัน เช่น คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง ควรเพิ่มเห็ดหูหนูดำเข้าไปในมื้อต่างๆ ในแต่ละวัน และควรกินบ่อยๆ

   ภายในหนึ่งวันลองเลือกเห็ดหูหนูมาใส่อาหารประเภทต่างๆให้ได้ 5-10 กรัม ก็สามารถช่วยในการป้องกันอาการหลอดเลือดอุดตัน

   อย่างไรก็ดี อย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 227
http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=6&articleId=1274

เห็ดหูหนูดำป้องกันหลอดเลือดอุดตัน

เมื่อพูดถึงการป้องกันหลอดเลือดอุดตัน เรามักคิดถึงการแก้ไขปัญหาที่อาหารการกินเป็นอันดับแรก
นั่นป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะอาหารบางประเภทคือที่มาของอาการหลอดเลือดอุดตัน และแน่นอนว่าอาหารบางประเภทก็เป็นทางออกของปัญหานี้เช่นกัน

“เห็ดหูหนูดำ” ที่เราคุ้นเคยนั่นเองที่เป็นพระเอกมาช่วยแก้อาการร้ายๆนี้ เห็ดหูหนูดำมีสารอาหารหลายตัวรวมไปถึง “อะดีโนซีน” สารตัวเดียวกับที่มีในกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ซึ่งช่วยลดความเหนียวข้นของเลือด ทำให้เลือดไม่เป็นลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมอง หรือเส้นเลือดที่อวัยวะอื่นๆ

เห็ดหูหนูดำกินง่ายและรสชาติเป็นที่ถูกปาก สามารถนำมาทำอาหารได้สารพัดเมนู ทั้งแกงจืด ผัด ยำ คนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอาการหลอดเลือดอุดตัน เช่น คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง ควรเพิ่มเห็ดหูหนูดำเข้าไปในมื้อต่างๆ ในแต่ละวัน และควรกินบ่อยๆ

ภายในหนึ่งวันลองเลือกเห็ดหูหนูมาใส่อาหารประเภทต่างๆให้ได้ 5-10 กรัม ก็สามารถช่วยในการป้องกันอาการหลอดเลือดอุดตัน

อย่างไรก็ดี อย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 227

15 โรคผงเข้าตา อาการที่หาทางแก้ได้ด้วยตัวเอง


รูปภาพ : 15 โรคผงเข้าตา อาการที่หาทางแก้ได้ด้วยตัวเอง

ยุคที่ปารีสยังไม่มีหอไอเฟลชาวพาราปารีเซียงแสนจะภูมิใจในสถาปัตยกรรมแบบเมืองเก่าสมัยจักรวรรดิของเขาเหลือเกิน  แต่พอถึงปี 1889 ที่พ่อยอดชายอาเล็กซองเดรอ กุสตาฟ ไอเฟล ประดิษฐ์หอเหล็กสูงระฟ้าขึ้นมาก็เริ่มมีเสียงบ่น
พึมพำปอดแปด

                บ้างก็ดังถึงแปดหลอด
เสียงกอสสิปวิพากษ์จากปากชนแดนน้ำหอมดังไปจนถึงหูศิลปินแถวย่านฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซนน์  จนเป็นที่รู้กันว่าถ้าใครอยากดูวิวกรุงปารีสสวยๆแบบไม่รกตาด้วยหอเหล็กเป็นโฟกราวน์หรือแบ็คกราวน์ก็ต้องไปนั่งจิบกาแฟบนหอไอเฟล

เพราะเป็นที่เดียวที่จะมองไม่เห็นหอนี้
อยู่ที่บนตัวหอไอเฟลนี้เองเสียเลย  นี่ครับ…คนปารีสยุคร้อยกว่าปีก่อนเขาไม่ชอบหอไอเฟลกันถึงขนาดนั้น  ยอมที่จะระเห็จขึ้นไปอยู่บนจุดที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นทัศนอุจาด

ความคิดคนไม่เคยประหลาดไปกว่านี้เลย
บังภูเขา บังตัวเรา

            ถ้าเราอยากที่จะไกลจากสิ่งที่เราไม่ชอบที่สุด  วิธีดีสุดคือต้องเอาสิ่งนั้นมาอยู่ในสายตาให้ได้  ถ้าหนักหน่อยก็คือเข้าไปอยู่กับสิ่งนั้นเลยจะได้อยู่ในสายตาไม่ว่าจะคน,สัตว์หรือสิ่งของ  จับต้องได้หรือไม่ได้  ต้องเอาเข้ามาใกล้จะได้รู้ความเคลื่อนไหว  ถ้าเราทำตาบอดปล่อยให้ผู้ร้ายอยู่ไกลตาเสียแล้วตามอารมณ์ไม่ชอบไม่อยากเห็นก็จะเป็นการยิ่งทำให้ผู้ร้ายนั้นก่อเรื่องจนมากระทบเราได้อยู่บ่อยๆ

อย่าปล่อยให้เส้นผมบังภูเขา  แล้วก็อย่าปล่อยให้ผงคาอยู่ในตาตัวเองด้วยครับ  ต้องขยันจับเอามันออกมาแล้วก็จับตามันให้ดี  อาการต่อไปนี้จัดอยู่ในโรคประเภทผงเข้าตาตัวเองจนมองไม่เห็นทางออกง่ายๆทั้งที่อยู่ในตาเราเอง

- ปวดศีรษะ  โรคปวดนี้มีเหตุตั้งแต่น้อยไปมาก  หากแก้ถูกจุดจะหยุดได้โดยเฉพาะในกรณีปวดจากนอนน้อย,เครียดหรือไม่ได้พักผ่อน  อาการปวดที่ว่า “ปวดตึงศีรษะ(Tension headache)” เป็นอาการหนึ่งที่แก้ได้ด้วยตัวเอง  เช่นการเข้านอนให้เร็วขึ้น,ออกกำลังกายและดื่มน้ำให้เยอะเข้าไว้  แล้วเรื่องปวดหัวจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ครับ

-  โรคอ้วน  ส่วนหนึ่งที่สำคัญมาจากตัวเราเอง  สู้ส่าห์ไปหาคอร์สรีดน้ำหนักจากตักสิลาแต่ก็ยังลดไม่ได้  ไปตัดกระเพาะก็แล้วอะไรก็แล้ว  อาจต้องมาดูที่เรื่องของอารมณ์,สมอง,พันธุกรรมและฮอร์โมน  ซึ่งจะเห็นว่าอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น  ก่อนให้ใครแก้ก็เริ่มที่ตัวเองก่อน

-   นอนไม่หลับ  สาเหตุหลักหนึ่งมาจาก “นอนกลางวัน” ขอให้เลี่ยงเรื่องนี้ก่อนที่จะหยิบานอนหลับกินให้เวิ่นเว้อ  ถ้านอนไม่หลับนานเกิน 15 นาทีให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเบาๆไปจนกว่าจะง่วงดีกว่าหรือว่าหาทางออกกำลังกายให้ได้วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  อย่าปล่อยให้ความเครียดมาเป็นแพะรับบาปเสมอไป  ถ้าเราปิดใจได้เครียดก็ไม่เข้ามาครับ

-   สิวขึ้น  ปรากฏการณ์หนุ่มสาวทะลุแป้ง  บางรายสิวใหญ่ขนาดแป้งไม่ปลื้มกลบไม่อยู่  ดูแล้วเรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่อยู่ในตัวเรา  หนึ่งคือมาจากผิว  สองคือมาจากฮอร์โมนในร่างกาย  ลองแก้ง่ายๆก่อนด้วยการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะช่วยคุมฮอร์โมนได้ครับ

-   ประจำเดือนไม่ปกติ  เมื่อไรถึงวันนั้นของเดือนแล้วเขามาไม่ปกติก็อย่าเพิ่งคิดจิตตกไปไกลถึงมะเร็งหรือเรื่องท้อง  เพราะการนอนไม่พอ,เครียดและไม่ได้พักผ่อนเป็นสาเหตุได้  หรืออีกเรื่องหนึ่งคือการกิน “ยาคุมฉุกเฉิน” ก็ทำให้เลือดประจำเดือนมาติดๆดับๆได้เหมือนกันครับ

-  โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน  หลายท่านต้องเหนื่อยไปแก้กรรมด้วยการ “ส่องกล้อง” ซึ่งผลที่ได้บ่อยๆคือ “ไม่พบอะไร” หรือพบเพียงรอยแดงอักเสบเล็กน้อย  ไม่ค่อยเห็นแผลเบ้งๆหรือเนื้องอกมะเร็งนักในเคสทั่วไป  การแก้มือโรคนี้ต้องแก้ที่ตัวก่อนคือ “ลดอ้วน” “งดกินดึก” “เลี่ยงของมัน” และหมั่นนอนหัวสูงเข้าไว้แล้วจะดีเองครับ

-  ซึมเศร้า  แก้ที่เราก่อนอีกเหมือนกัน  โรคหลายโรคทำให้มีอาการแบบซึมเศร้าได้  อย่างไทรอยด์ต่ำเป็นต้น(Hypothyroidism) คนที่ป่วยโรคนี้มีสิทธิ์ถูกคิดว่าเป็นซึมเศร้าเอาง่ายๆด้วยบางรายมีความเสี่ยงอยู่แล้วก็พาลคิดไกลถึงฆ่าตัวตายลาโลกก็มี  ถ้ารักษาควรดูทั้งทางจิตเวชและไทรอยด์ไปด้วยกันครับ

-  โรคไทรอยด์  ที่บอกไปข้างต้นคือไทรอยด์เป็นพิษ  แต่ไทรอยด์ยังมีอีกมากครับ  อย่างหนึ่งคือเป็นพิษทำให้เครียดง่าย,ใจสั่น,หงุดหงิด,น้ำหนักตัวลด,ท้องเสีย,เหงื่อออกตามือเท้า  หลายรายถูกวินิจฉัยไปว่าเป็นโรคเครียดธรรมดาหรือว่าเป็นอาการวัยทองไปก็มี  ขออย่าลืมดูที่ต่อมใต้คางใกล้คอเรานี้ด้วยนะครับ

- เบื่ออาหาร  อาการแสนจะธรรมชาติของคนทั่วบ้านเมือง  เป็นเรื่องธรรมดาที่ดูว่า “เดี๋ยวก็หาย” แต่ระวังอาจกลายเป็นเรื่องร้ายระดับชีวิตได้นะครับ  เพราะอาการเบื่อที่ว่าอาจมาได้จากส่วนสมองที่มีเคมีผิดไปจากความเครียดหรือจากมะเร็งที่เกาะกินส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายได้

- วัยทอง หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน  อาการชวนคิดเมื่อถึงวัยหนึ่งซึ่งเป็นได้ทั้งหญิงชาย  ในสตรีจะได้สิทธิ์นั้นมากกว่าเพราะแค่ถูกตัดรังไข่ออกไปก็เกิดอาการได้แล้ว  แต่ก็น่าสงสัยว่าในบางรายก็ไม่มีอาการ  ฉะนั้นอย่าลืมสิ่งที่เป็นเส้นผมบังภูเขาไว้ด้วยอย่างโรคไทรอยด์,ซึมเศร้า,ยาบางชนิดหรือสมองเสื่อมก็ได้คัรบ

-  กระดูกพรุน  ความปวดตามข้อต่อ  เวลาตื่นเช้าต้องใช้เวลายืดข้อสักพักถึงหายฝืด  อาการที่ว่าอาจไม่ใช่ความเสื่อมธรรมดาแต่ว่ามีกระดูกพรุนด้วย  เวลากระดูกพรุนอย่านึกถึงเรื่อง “วัย” อย่างเดียวควรนึกถึง “ยา” ไว้ด้วยอย่างท่านที่ใช้ยา “สเตียรอยด์” ก็ทำให้กระดูกพรุนได้ไวกว่าปกติ นอกจากนั้นในคนผอมและบางเชื้อชาติก็เสี่ยงพรุนได้มากกว่า

-  ไขมันขึ้น  คุมอาหารเท่าไรก็ไม่ลด อดจนเลือดตากระเด็นก็ยังเป็นอยู่ขอให้ดูเรื่องของพันธุ์ทุเรียน  เอ๊ย…พันธุกรรมไว้ด้วยครับ  นอกจากนั้นยังมีเรื่องความผิดปกติในการสลายไขมันโรคอื่นอีก  การมีไขมันในเลือดสูงมีสิ่งที่มักมองข้ามคือ “ไขมันพอกตับ(Fatty liver)’ นับเป็นเรื่องสำคัญเพราะทำให้ตับแข็งเป็นเรื่องใหญ่ได้

-  ตกขาว  อย่าเพิ่งตกใจ  ยิ่งถ้าเป็นบ่อยขอให้สังเกตจากคนใกล้ตัว  ถ้าแฟนเรามีอาการผิดปกติก็ควรพาไปตรวจด้วยกัน  หรือถ้าสังเกตว่ามักเป็นเวลามีเพศสัมพันธ์ก็ต้องนึกถึงกามโรคอย่างหนองในเทียมเข้าไว้ด้วยแล้ว  อย่าเพิ่งกังวลหรือคิดไปไกลถึงมะเร็งเสมอไปครับ  ค่อยๆหาผู้ร้ายใกลัตัวเราก่อนแล้วค่อยขยายผลไปก็ได้ครับ

-  กระเพาะปัสสาวะอักเสบ  โรคเจ็บเวลาฉี่มีอาการเข้าห้องน้ำบ่อย  ปัสสาวะทีละน้อยคล้ายไม่สุด  บางรายมีเลือดปนมาดูน่ากลัว  ขอให้ดูที่เหตุใกล้ตัวก่อนเช่น ปนเปื้อนเวลาขับถ่าย,กลั้นปัสสาวะ,ดื่มน้ำน้อยหรือมีเพศสัมพันธ์  ดังที่เรียกกันว่า “โรคฮันนีมูน(Honeymoon cystitis)” เพราะมักเกิดในสาวที่มีเพศสัมพันธ์ครับ

-   เจ็บหน้าอก  เจ็บจี๊ดสะกิดใจคิดไกลถึงโรคหัวใจให้อายุสั้นไม่ทันเห็นลูกโตไปโน่น  ความรู้สึกกลัวยามเจ็บอกเป็นธรรมดาของมนุษย์ครับเพราะอกเป็นอวัยวะสำคัญที่มีดวงใจเต้นอยู่ในนั้น  แต่การเจ็บอกทุกครั้งไม่เสมอไปที่เป็นตัวแทนของโรคร้าย  หลายครั้งด้วยซ้ำถ้าอยู่เฉยๆแล้วเจ็บและเจ็บแปลบหรือจี๊ดจนต้องหยุดหายใจอย่างนี้เป็นเจ็บจากปลายประสาทผนังอกหรือซี่โครงอ่อนอักเสบ  เรียกเป็นเจ็บแบบผิวๆเกิดจากยกของหนักหรือเครียดก็ได้ครับ  ขออย่าเครียดไปเลยครับจะยิ่งเจ็บยกใหญ่

โรคที่ยกมาเป็นโรคที่มีต้นเหตุมาจากในตัวเราเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งถ้าว่าไปความเจ็บป่วยในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากเราเพียงแต่เรามักไปนึกถึงคนนอกให้ช่วยเขี่ยผงให้ก่อนที่จะนึกเดินไปส่องกระจกเขี่ยผงที่ตาตัวเองออก  โดยโรคที่เลือกมาก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เพราะจุดประสงค์จริงคืออยากให้เป็นอุทาหรณ์ป้องกันฝุ่นเสียก่อนที่มันจะกระเด็นเข้าตาเรา  หรือถึงเข้าตาแล้วก็ไม่ต้องตกใจรีบวิ่งไปหาใครอื่นก่อน  ทำใจสบายๆแล้วค่อยหาผู้ร้ายใกล้ตัวก่อนมักไม่ค่อยพลาดครับ  ใช้ได้กับทุกเรื่อง

ขออย่าเคืองคนอื่นก่อนตัวเอง

http://www.bangkokvoice.com/2012/06/11/health-blog/

15 โรคผงเข้าตา อาการที่หาทางแก้ได้ด้วยตัวเอง

ยุคที่ปารีสยังไม่มีหอไอเฟลชาวพาราปารีเซียงแสนจะภูมิใจในสถาปัตยกรรมแบบเมืองเก่าสมัยจักรวรรดิของเขาเหลือเกิน แต่พอถึงปี 1889 ที่พ่อยอดชายอาเล็กซองเดรอ กุสตาฟ ไอเฟล ประดิษฐ์หอเหล็กสูงระฟ้าขึ้นมาก็เริ่มมีเสียงบ่น
พึมพำปอดแปด

บ้างก็ดังถึงแปดหลอด
เสียงกอสสิปวิพากษ์จากปากชนแดนน้ำหอมดังไปจนถึงหูศิลปินแถวย่านฝั่งซ้ายของแม่น้ำเซนน์ จนเป็นที่รู้กันว่าถ้าใครอยากดูวิวกรุงปารีสสวยๆแบบไม่รกตาด้วยหอเหล็กเป็นโฟกราวน์หรือแบ็คกราวน์ก็ต้องไปนั่งจิบกาแฟบนหอไอเฟล

เพราะเป็นที่เดียวที่จะมองไม่เห็นหอนี้
อยู่ที่บนตัวหอไอเฟลนี้เองเสียเลย นี่ครับ…คนปารีสยุคร้อยกว่าปีก่อนเขาไม่ชอบหอไอเฟลกันถึงขนาดนั้น ยอมที่จะระเห็จขึ้นไปอยู่บนจุดที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นทัศนอุจาด

ความคิดคนไม่เคยประหลาดไปกว่านี้เลย
บังภูเขา บังตัวเรา

ถ้าเราอยากที่จะไกลจากสิ่งที่เราไม่ชอบที่สุด วิธีดีสุดคือต้องเอาสิ่งนั้นมาอยู่ในสายตาให้ได้ ถ้าหนักหน่อยก็คือเข้าไปอยู่กับสิ่งนั้นเลยจะได้อยู่ในสายตาไม่ว่าจะคน,สัตว์หรือสิ่งของ จับต้องได้หรือไม่ได้ ต้องเอาเข้ามาใกล้จะได้รู้ความเคลื่อนไหว ถ้าเราทำตาบอดปล่อยให้ผู้ร้ายอยู่ไกลตาเสียแล้วตามอารมณ์ไม่ชอบไม่อยากเห็นก็จะเป็นการยิ่งทำให้ผู้ร้ายนั้นก่อเรื่องจนมากระทบเราได้อยู่บ่อยๆ

อย่าปล่อยให้เส้นผมบังภูเขา แล้วก็อย่าปล่อยให้ผงคาอยู่ในตาตัวเองด้วยครับ ต้องขยันจับเอามันออกมาแล้วก็จับตามันให้ดี อาการต่อไปนี้จัดอยู่ในโรคประเภทผงเข้าตาตัวเองจนมองไม่เห็นทางออกง่ายๆทั้งที่อยู่ในตาเราเอง

- ปวดศีรษะ โรคปวดนี้มีเหตุตั้งแต่น้อยไปมาก หากแก้ถูกจุดจะหยุดได้โดยเฉพาะในกรณีปวดจากนอนน้อย,เครียดหรือไม่ได้พักผ่อน อาการปวดที่ว่า “ปวดตึงศีรษะ(Tension headache)” เป็นอาการหนึ่งที่แก้ได้ด้วยตัวเอง เช่นการเข้านอนให้เร็วขึ้น,ออกกำลังกายและดื่มน้ำให้เยอะเข้าไว้ แล้วเรื่องปวดหัวจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ครับ

- โรคอ้วน ส่วนหนึ่งที่สำคัญมาจากตัวเราเอง สู้ส่าห์ไปหาคอร์สรีดน้ำหนักจากตักสิลาแต่ก็ยังลดไม่ได้ ไปตัดกระเพาะก็แล้วอะไรก็แล้ว อาจต้องมาดูที่เรื่องของอารมณ์,สมอง,พันธุกรรมและฮอร์โมน ซึ่งจะเห็นว่าอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น ก่อนให้ใครแก้ก็เริ่มที่ตัวเองก่อน

- นอนไม่หลับ สาเหตุหลักหนึ่งมาจาก “นอนกลางวัน” ขอให้เลี่ยงเรื่องนี้ก่อนที่จะหยิบานอนหลับกินให้เวิ่นเว้อ ถ้านอนไม่หลับนานเกิน 15 นาทีให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเบาๆไปจนกว่าจะง่วงดีกว่าหรือว่าหาทางออกกำลังกายให้ได้วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย อย่าปล่อยให้ความเครียดมาเป็นแพะรับบาปเสมอไป ถ้าเราปิดใจได้เครียดก็ไม่เข้ามาครับ

- สิวขึ้น ปรากฏการณ์หนุ่มสาวทะลุแป้ง บางรายสิวใหญ่ขนาดแป้งไม่ปลื้มกลบไม่อยู่ ดูแล้วเรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่อยู่ในตัวเรา หนึ่งคือมาจากผิว สองคือมาจากฮอร์โมนในร่างกาย ลองแก้ง่ายๆก่อนด้วยการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะช่วยคุมฮอร์โมนได้ครับ

- ประจำเดือนไม่ปกติ เมื่อไรถึงวันนั้นของเดือนแล้วเขามาไม่ปกติก็อย่าเพิ่งคิดจิตตกไปไกลถึงมะเร็งหรือเรื่องท้อง เพราะการนอนไม่พอ,เครียดและไม่ได้พักผ่อนเป็นสาเหตุได้ หรืออีกเรื่องหนึ่งคือการกิน “ยาคุมฉุกเฉิน” ก็ทำให้เลือดประจำเดือนมาติดๆดับๆได้เหมือนกันครับ

- โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน หลายท่านต้องเหนื่อยไปแก้กรรมด้วยการ “ส่องกล้อง” ซึ่งผลที่ได้บ่อยๆคือ “ไม่พบอะไร” หรือพบเพียงรอยแดงอักเสบเล็กน้อย ไม่ค่อยเห็นแผลเบ้งๆหรือเนื้องอกมะเร็งนักในเคสทั่วไป การแก้มือโรคนี้ต้องแก้ที่ตัวก่อนคือ “ลดอ้วน” “งดกินดึก” “เลี่ยงของมัน” และหมั่นนอนหัวสูงเข้าไว้แล้วจะดีเองครับ

- ซึมเศร้า แก้ที่เราก่อนอีกเหมือนกัน โรคหลายโรคทำให้มีอาการแบบซึมเศร้าได้ อย่างไทรอยด์ต่ำเป็นต้น(Hypothyroidism) คนที่ป่วยโรคนี้มีสิทธิ์ถูกคิดว่าเป็นซึมเศร้าเอาง่ายๆด้วยบางรายมีความเสี่ยงอยู่แล้วก็พาลคิดไกลถึงฆ่าตัวตายลาโลกก็มี ถ้ารักษาควรดูทั้งทางจิตเวชและไทรอยด์ไปด้วยกันครับ

- โรคไทรอยด์ ที่บอกไปข้างต้นคือไทรอยด์เป็นพิษ แต่ไทรอยด์ยังมีอีกมากครับ อย่างหนึ่งคือเป็นพิษทำให้เครียดง่าย,ใจสั่น,หงุดหงิด,น้ำหนักตัวลด,ท้องเสีย,เหงื่อออกตามือเท้า หลายรายถูกวินิจฉัยไปว่าเป็นโรคเครียดธรรมดาหรือว่าเป็นอาการวัยทองไปก็มี ขออย่าลืมดูที่ต่อมใต้คางใกล้คอเรานี้ด้วยนะครับ

- เบื่ออาหาร อาการแสนจะธรรมชาติของคนทั่วบ้านเมือง เป็นเรื่องธรรมดาที่ดูว่า “เดี๋ยวก็หาย” แต่ระวังอาจกลายเป็นเรื่องร้ายระดับชีวิตได้นะครับ เพราะอาการเบื่อที่ว่าอาจมาได้จากส่วนสมองที่มีเคมีผิดไปจากความเครียดหรือจากมะเร็งที่เกาะกินส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายได้

- วัยทอง หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน อาการชวนคิดเมื่อถึงวัยหนึ่งซึ่งเป็นได้ทั้งหญิงชาย ในสตรีจะได้สิทธิ์นั้นมากกว่าเพราะแค่ถูกตัดรังไข่ออกไปก็เกิดอาการได้แล้ว แต่ก็น่าสงสัยว่าในบางรายก็ไม่มีอาการ ฉะนั้นอย่าลืมสิ่งที่เป็นเส้นผมบังภูเขาไว้ด้วยอย่างโรคไทรอยด์,ซึมเศร้า,ยาบางชนิดหรือสมองเสื่อมก็ได้คัรบ

- กระดูกพรุน ความปวดตามข้อต่อ เวลาตื่นเช้าต้องใช้เวลายืดข้อสักพักถึงหายฝืด อาการที่ว่าอาจไม่ใช่ความเสื่อมธรรมดาแต่ว่ามีกระดูกพรุนด้วย เวลากระดูกพรุนอย่านึกถึงเรื่อง “วัย” อย่างเดียวควรนึกถึง “ยา” ไว้ด้วยอย่างท่านที่ใช้ยา “สเตียรอยด์” ก็ทำให้กระดูกพรุนได้ไวกว่าปกติ นอกจากนั้นในคนผอมและบางเชื้อชาติก็เสี่ยงพรุนได้มากกว่า

- ไขมันขึ้น คุมอาหารเท่าไรก็ไม่ลด อดจนเลือดตากระเด็นก็ยังเป็นอยู่ขอให้ดูเรื่องของพันธุ์ทุเรียน เอ๊ย…พันธุกรรมไว้ด้วยครับ นอกจากนั้นยังมีเรื่องความผิดปกติในการสลายไขมันโรคอื่นอีก การมีไขมันในเลือดสูงมีสิ่งที่มักมองข้ามคือ “ไขมันพอกตับ(Fatty liver)’ นับเป็นเรื่องสำคัญเพราะทำให้ตับแข็งเป็นเรื่องใหญ่ได้

- ตกขาว อย่าเพิ่งตกใจ ยิ่งถ้าเป็นบ่อยขอให้สังเกตจากคนใกล้ตัว ถ้าแฟนเรามีอาการผิดปกติก็ควรพาไปตรวจด้วยกัน หรือถ้าสังเกตว่ามักเป็นเวลามีเพศสัมพันธ์ก็ต้องนึกถึงกามโรคอย่างหนองในเทียมเข้าไว้ด้วยแล้ว อย่าเพิ่งกังวลหรือคิดไปไกลถึงมะเร็งเสมอไปครับ ค่อยๆหาผู้ร้ายใกลัตัวเราก่อนแล้วค่อยขยายผลไปก็ได้ครับ

- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคเจ็บเวลาฉี่มีอาการเข้าห้องน้ำบ่อย ปัสสาวะทีละน้อยคล้ายไม่สุด บางรายมีเลือดปนมาดูน่ากลัว ขอให้ดูที่เหตุใกล้ตัวก่อนเช่น ปนเปื้อนเวลาขับถ่าย,กลั้นปัสสาวะ,ดื่มน้ำน้อยหรือมีเพศสัมพันธ์ ดังที่เรียกกันว่า “โรคฮันนีมูน(Honeymoon cystitis)” เพราะมักเกิดในสาวที่มีเพศสัมพันธ์ครับ

- เจ็บหน้าอก เจ็บจี๊ดสะกิดใจคิดไกลถึงโรคหัวใจให้อายุสั้นไม่ทันเห็นลูกโตไปโน่น ความรู้สึกกลัวยามเจ็บอกเป็นธรรมดาของมนุษย์ครับเพราะอกเป็นอวัยวะสำคัญที่มีดวงใจเต้นอยู่ในนั้น แต่การเจ็บอกทุกครั้งไม่เสมอไปที่เป็นตัวแทนของโรคร้าย หลายครั้งด้วยซ้ำถ้าอยู่เฉยๆแล้วเจ็บและเจ็บแปลบหรือจี๊ดจนต้องหยุดหายใจอย่างนี้เป็นเจ็บจากปลายประสาทผนังอกหรือซี่โครงอ่อนอักเสบ เรียกเป็นเจ็บแบบผิวๆเกิดจากยกของหนักหรือเครียดก็ได้ครับ ขออย่าเครียดไปเลยครับจะยิ่งเจ็บยกใหญ่

โรคที่ยกมาเป็นโรคที่มีต้นเหตุมาจากในตัวเราเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าว่าไปความเจ็บป่วยในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากเราเพียงแต่เรามักไปนึกถึงคนนอกให้ช่วยเขี่ยผงให้ก่อนที่จะนึกเดินไปส่องกระจกเขี่ยผงที่ตาตัวเองออก โดยโรคที่เลือกมาก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เพราะจุดประสงค์จริงคืออยากให้เป็นอุทาหรณ์ป้องกันฝุ่นเสียก่อนที่มันจะกระเด็นเข้าตาเรา หรือถึงเข้าตาแล้วก็ไม่ต้องตกใจรีบวิ่งไปหาใครอื่นก่อน ทำใจสบายๆแล้วค่อยหาผู้ร้ายใกล้ตัวก่อนมักไม่ค่อยพลาดครับ ใช้ได้กับทุกเรื่อง

ขออย่าเคืองคนอื่นก่อนตัวเอง

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อันตรายจากการดื่มน้ำที่ทิ้งไว้ในรถ เสี่ยงได้มะเร็ง


รูปภาพ : อันตรายจากการดื่มน้ำที่ทิ้งไว้ในรถ เสี่ยงได้มะเร็ง

หลาย ๆ คนไม่ทราบถึงอันตรายจากสารพิษที่มีสาเหตุมาจากการนำขวดพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำคุณหลายๆ คนอาจยังมีพฤติกรรมการใช้ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ของขวดน้ำแร่ (เช่น Nestle, Bisleri, Aquafina, Kinley, Evian, และอื่นๆ) โดยการเก็บขวดเหล่านั้นไว้ในรถ หรือที่ทำงาน ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นใน ดูไบ ที่เด็กหญิงอายุ 12 ปี เสียชีวิตหลังจากการใช้ขวดน้ำแร่ใส่น้ำไปโรงเรียนเป็นระยะเวลานานถึง 16 เดือน ซึ่งพลาสติกที่เรียกว่า Polyethyleneterephthalate หรือ PET บรรจุสารที่เป็นตัวการสำคัญที่เรียกว่า Diethyl hydroxylamine or DEHA ขวดเหล่านี้จะมีความปลอดภัยในการใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้น ก็ต้องไม่นานกว่า 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ ถือว่านานที่สุด และต้องเก็บไว้ให้ห่างจากความร้อนด้วยเช่นกัน

การล้างขวดน้ำซ้ำๆและล้างโดยการเขย่าขวดนั้น เป็นสาเหตุของการเสื่อมตัวของพลาสติกและเกิดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่จะเข้าไปรวมตัวกับน้ำที่คุณใส่ไว้ในขวดสำหรับดื่ม ทางที่ดีคุณควรจัดหาขวดสำหรับใส่น้ำที่สามารถใช้บรรจุน้ำได้หลายๆ ครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ สิ่งที่ต้องใช้อย่างประหยัด แต่อยากให้นึกถึงครอบครัวและตัวของคุณเอง

http://www.lovefitt.com/healthy-fact/%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%96-%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87/

อันตรายจากการดื่มน้ำที่ทิ้งไว้ในรถ เสี่ยงได้มะเร็ง

หลาย ๆ คนไม่ทราบถึงอันตรายจากสารพิษที่มีสาเหตุมาจากการนำขวดพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำคุณหลายๆ คนอาจยังมีพฤติกรรมการใช้ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ของขวดน้ำแร่ (เช่น Nestle, Bisleri, Aquafina, Kinley, Evian, และอื่นๆ) โดยการเก็บขวดเหล่านั้นไว้ในรถ หรือที่ทำงาน ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย

มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นใน ดูไบ ที่เด็กหญิงอายุ 12 ปี เสียชีวิตหลังจากการใช้ขวดน้ำแร่ใส่น้ำไปโรงเรียนเป็นระยะเวลานานถึง 16 เดือน ซึ่งพลาสติกที่เรียกว่า Polyethyleneterephthalate หรือ PET บรรจุสารที่เป็นตัวการสำคัญที่เรียกว่า Diethyl hydroxylamine or DEHA ขวดเหล่านี้จะมีความปลอดภัยในการใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้น ก็ต้องไม่นานกว่า 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ ถือว่านานที่สุด และต้องเก็บไว้ให้ห่างจากความร้อนด้วยเช่นกัน

การล้างขวดน้ำซ้ำๆและล้างโดยการเขย่าขวดนั้น เป็นสาเหตุของการเสื่อมตัวของพลาสติกและเกิดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่จะเข้าไปรวมตัวกับน้ำที่คุณใส่ไว้ในขวดสำหรับดื่ม ทางที่ดีคุณควรจัดหาขวดสำหรับใส่น้ำที่สามารถใช้บรรจุน้ำได้หลายๆ ครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ สิ่งที่ต้องใช้อย่างประหยัด แต่อยากให้นึกถึงครอบครัวและตัวของคุณเอง

6 โรคอันตรายมากับสายฝน แนะกินอาหารที่เหมาะสม


รูปภาพ : 6 โรคอันตรายมากับสายฝน แนะกินอาหารที่เหมาะสม

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) โดยศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ออกโรงเตือนโรคที่มากับสายฝน ฤดูแห่งไวรัสและสารพัดโรคที่มากับน้ำ

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า น้ำฝนนอกจากจะนำความชุ่มฉ่ำ สดชื่น มาให้ แต่ก็สามารถนำสารปนเปื้อนและเชื้อโรคนานาประการมาให้เช่นเดียวกัน จะขอยก 6 โรคที่อาจมากับน้ำฝนได้แก่ 

1. โรคจากไวรัส ซึ่งไวรัสที่สำคัญคือ ไรโนไวรัส ทำให้เกิดหวัดคัดจมูกและเกิดอาการไข้ได้ นอกจากนี้ยังมีไวรัส อาร์เอสวี ที่มักเจาะกลุ่มทารก ทำให้เจ็บป่วยไม่สบายถึงขั้นหลอดลมฝอยอักเสบ และยังมีไวรัสไข้หวัดใหญ่,ไข้เลือดออกและอื่นๆอีกมาก

2. คอติดเชื้อ โรคยอดนิยมที่พบมากในฤดูฝน ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเป็นหลัก มีไข้ปวดเมื่อยตามตัว และในบางรายจะมีน้ำมูกร่วมด้วย เกิดได้จากอากาศที่เย็นชื้นจนเป็นที่ชื่นชอบของไวรัส และเกิดได้จากการเผลอกลืนน้ำฝนปนเปื้อนลงคอไปจนทำให้คออักเสบ 

3. ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เป็นอีกเรื่องที่พบบ่อย ในฤดูฝนน้ำที่ปนเปื้อนอาจพบเชื้อ อีโคไลซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้ลำไส้อักเสบติดเชื้อได้ ในบรรดาอาหารที่เข้าข่ายเสี่ยงมักเป็นของสดอย่างผักผลไม้ตามตลาดสดที่เฉอะแฉะ น้ำที่กระเซ็นใส่มีเสี่ยงเชื้ออีโคไลได้สูง

4. ผิวหนังอักเสบ น้ำฝนที่ขังตามพื้นถนนจนเน่าเหม็นทำให้เกิดการติดเชื้อได้หากสัมผัสโดน อย่างไรก็ตาม หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องหมั่นล้างมือล้างเท้าให้บ่อยขึ้นในฤดูฝนนี้ เพราะน้ำที่สกปรกจะทำให้เกิดผิวหนังติดเชื้อ,แผลเบาหวานเรื้อรัง,เชื้อรา,หนังศีรษะอักเสบคัน, จนถึงทำให้เกิดตุ่มหนองและฝีได้ตามผิวเด็กอ่อนๆ 

5. โรคฉี่หนู ถนนไหนมีน้ำขังผสมปนเปกับท่อระบายน้ำที่นั่นก็จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อฉี่หนูหรือเล็พโตสไปโรซิสได้ แม้ในรายที่รื้อบ้านแล้วมีมูลหนูปนออกมาจนเผลอไปเหยียบเข้าผ่านจากผิวหนังที่เป็นแผลก็จะทำให้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดตามตัวโดยเฉพาะน่อง เบื่ออาหาร 

6. ไข้เลือดออก ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคนี้ทั้งสิ้น หากมีอาการไข้สูงไม่ลดสักทีบวกกับมีเบื่ออาหาร เกิดอาการอ่อนเพลียเซื่องซึม ขอให้นึกไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออกให้รีบไปพบแพทย์

นพ.กฤษดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ควรเลี่ยงความเปียกชื้น พยายามอาบน้ำสระผมและเช็ดตัวให้แห้งอยู่เสมอ และหากกำลังมองหาอาหารที่เหมาะกับฤดูฝน ก็ขอแนะนำเป็น ผัดผักบุ้ง, แกงส้มมะละกอ และน้ำเสาวรส จะช่วยปรับสมดุลย์สุขภาพได้ง่ายๆ สไตล์อายุรวัฒน์

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/34829

6 โรคอันตรายมากับสายฝน แนะกินอาหารที่เหมาะสม

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) โดยศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ออกโรงเตือนโรคที่มากับสายฝน ฤดูแห่งไวรัสและสารพัดโรคที่มากับน้ำ

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า น้ำฝนนอกจากจะนำความชุ่มฉ่ำ สดชื่น มาให้ แต่ก็สามารถนำสารปนเปื้อนและเชื้อโรคนานาประการมาให้เช่นเดียวกัน จะขอยก 6 โรคที่อาจมากับน้ำฝนได้แก่

1. โรคจากไวรัส ซึ่งไวรัสที่สำคัญคือ ไรโนไวรัส ทำให้เกิดหวัดคัดจมูกและเกิดอาการไข้ได้ นอกจากนี้ยังมีไวรัส อาร์เอสวี ที่มักเจาะกลุ่มทารก ทำให้เจ็บป่วยไม่สบายถึงขั้นหลอดลมฝอยอักเสบ และยังมีไวรัสไข้หวัดใหญ่,ไข้เลือดออกและอื่นๆอีกมาก

2. คอติดเชื้อ โรคยอดนิยมที่พบมากในฤดูฝน ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเป็นหลัก มีไข้ปวดเมื่อยตามตัว และในบางรายจะมีน้ำมูกร่วมด้วย เกิดได้จากอากาศที่เย็นชื้นจนเป็นที่ชื่นชอบของไวรัส และเกิดได้จากการเผลอกลืนน้ำฝนปนเปื้อนลงคอไปจนทำให้คออักเสบ

3. ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เป็นอีกเรื่องที่พบบ่อย ในฤดูฝนน้ำที่ปนเปื้อนอาจพบเชื้อ อีโคไลซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้ลำไส้อักเสบติดเชื้อได้ ในบรรดาอาหารที่เข้าข่ายเสี่ยงมักเป็นของสดอย่างผักผลไม้ตามตลาดสดที่เฉอะแฉะ น้ำที่กระเซ็นใส่มีเสี่ยงเชื้ออีโคไลได้สูง

4. ผิวหนังอักเสบ น้ำฝนที่ขังตามพื้นถนนจนเน่าเหม็นทำให้เกิดการติดเชื้อได้หากสัมผัสโดน อย่างไรก็ตาม หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องหมั่นล้างมือล้างเท้าให้บ่อยขึ้นในฤดูฝนนี้ เพราะน้ำที่สกปรกจะทำให้เกิดผิวหนังติดเชื้อ,แผลเบาหวานเรื้อรัง,เชื้อรา,หนังศีรษะอักเสบคัน, จนถึงทำให้เกิดตุ่มหนองและฝีได้ตามผิวเด็กอ่อนๆ

5. โรคฉี่หนู ถนนไหนมีน้ำขังผสมปนเปกับท่อระบายน้ำที่นั่นก็จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อฉี่หนูหรือเล็พโตสไปโรซิสได้ แม้ในรายที่รื้อบ้านแล้วมีมูลหนูปนออกมาจนเผลอไปเหยียบเข้าผ่านจากผิวหนังที่เป็นแผลก็จะทำให้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดตามตัวโดยเฉพาะน่อง เบื่ออาหาร

6. ไข้เลือดออก ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคนี้ทั้งสิ้น หากมีอาการไข้สูงไม่ลดสักทีบวกกับมีเบื่ออาหาร เกิดอาการอ่อนเพลียเซื่องซึม ขอให้นึกไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออกให้รีบไปพบแพทย์

นพ.กฤษดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ควรเลี่ยงความเปียกชื้น พยายามอาบน้ำสระผมและเช็ดตัวให้แห้งอยู่เสมอ และหากกำลังมองหาอาหารที่เหมาะกับฤดูฝน ก็ขอแนะนำเป็น ผัดผักบุ้ง, แกงส้มมะละกอ และน้ำเสาวรส จะช่วยปรับสมดุลย์สุขภาพได้ง่ายๆ สไตล์อายุรวัฒน์

7 ผัก ผลไม้ ป้องกันโรคกระดูก


รูปภาพ : 7 ผัก ผลไม้ ป้องกันโรคกระดูก 

 เราคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ ถือเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญ ทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่

    และถ้าพูดเกลือแร่แล้ว คงนึกถึงแหล่งของสารอาหารชนิดนี้อย่าง นม ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง หรือแม้แต่ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก

    แต่ตอนนี้ คนที่ไม่นิยมทานเนื้อคงคลายความกังวลไปได้บ้าง เพราะมีผัก-ผลไม้บางชนิดที่ให้แคลเซียมสูงประกอบกับแร่ธาตุบางตัวที่ไปช่วยเสริมการทำงานของแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น
 
ร่างกายต้องการแคลเซียมมากขนาดไหน

    จริง ๆ แล้วร่างกายคนเราต้องแคลเซียมวันละ 800 – 1200 มิลลิกรัม แม้ว่าเราได้แคลเซียมมากจนเพียงพอกับความต้องการ แต่แคลเซียมอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันด้วย เช่น ฟอสฟอรัสที่ช่วยส่งเสริมแคลเซียมในการสร้างความหนาแน่นให้กับกระดูก วิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ ที่จะช่วยในการดูดแคลเซียม วิตามินเอ มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับสร้างกระดูกและฟัน เป็นต้น

    นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงไม่ผุกร่อนได้ง่าย

ผักและผลไม้ ก็อุดมด้วยแคลเซียมด้วยเช่นกัน

    มาดูกันว่ามีผักผลไม่ชนิดใด ที่เราสามารถเลือกทานเพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงกันบ้าง

1.กะหล่ำปลี – กะหล่ำปลีจีน นอกจากจะอุดมด้วยแคลเซียมแล้ว ยังมีฟอสฟอรัส วิตามินเอ ซี กรดโฟลิค เหล็ก เบต้าแคโรทีน และโพแทสเซียมอีกด้วย

2.กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง มีทั้งแคลเซียมและโพแทสเซียมที่ช่วยป้องกันการขาดแคลนแคลเซียมในร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีวิตามินครบทั้ง วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา บี 2 ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายตามปกติ วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย
 
3.บลอคโคลี อุดมด้วยแคลเซียม แมงกานีส โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยวิตามินเข้มข้นอย่าง วิตามินเอ ซี และเค ซึ่งให้ผลในการต่อต้านโรคมะเร็ง และช่วยให้เอสโตรเจนส่วนเกินในร่างกายลดน้อยลงได้

4.ผลกีวี ผลไม้รสเปรี้ยวก็ยังอุดมด้วยแคลเซียมเช่นเดียวกัน และยังมีวิตามินซี ลูทีน และแคโรทีนอยด์ที่ทำให้ลดการเป็นโรคหัวใจลงด้วย
  
5.ผักคะน้า ผักอีก 1 ชนิดที่เป็นแหล่งแคลเซียมสูง ช่วยป้องกันโรคกระดูกบางได้ ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ไม่น้อยกว่านม การทานคะน้าจะช่วยสร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรง เพราะมีสาระสำคัญอย่าง ซันโฟราเฟน สารผลึกอินโดลส์ กรดธรรมชาติโฟลิก และกำมะถัน


6.ใบยอ ผักพื้นบ้านใกล้ตัวคนไทยที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกชั้นยอด เนื่องจากมีวิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีนสูงมาก นอกจากนี้ยังอุดมด้วยคุณาทางอาหารมากมายโดยเฉพาะมีแคลเซียมสูงถึง 469 มิลลิกรัม ต่อใบยอน้ำหนัก 100 กรัม การทานใบยอสุกเพียง 1 ถ้วย ก็ได้แคลเซียมเกือบครบตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแล้ว

7.หอมหัวใหญ่ อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซิลิเนียม เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ฟลาโวนอยด์ และเควอเซทิน ที่ช่วยยับยั้งความเสื่อมของกระดูก การทานหัวหอมใหญ่วันละ 1 กรัม ก็เพียงพอที่จะเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้แล้ว

    อีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่รักการทานผักและผลไม้ และผู้ที่ไม่อยากทานแคลเซียมจากสารสังเคราะห์ นมถั่วเหลือง หรือปลาเล็กปลาน้อย ก็สามารถหันมาทานผักผลไม้แทนกันได้

http://www.never-age.com/795-1-7%20ผัก%20ผลไม้%20ป้องกันโรคกระดูก.html

7 ผัก ผลไม้ ป้องกันโรคกระดูก 

เราคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ ถือเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญ ทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่

และถ้าพูดเกลือแร่แล้ว คงนึกถึงแหล่งของสารอาหารชนิดนี้อย่าง นม ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง หรือแม้แต่ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก

แต่ตอนนี้ คนที่ไม่นิยมทานเนื้อคงคลายความกังวลไปได้บ้าง เพราะมีผัก-ผลไม้บางชนิดที่ให้แคลเซียมสูงประกอบกับแร่ธาตุบางตัวที่ไปช่วยเสริมการทำงานของแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

ร่างกายต้องการแคลเซียมมากขนาดไหน

จริง ๆ แล้วร่างกายคนเราต้องแคลเซียมวันละ 800 – 1200 มิลลิกรัม แม้ว่าเราได้แคลเซียมมากจนเพียงพอกับความต้องการ แต่แคลเซียมอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อกระบวนการเสริมสร้างกระดูกนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกันด้วย เช่น ฟอสฟอรัสที่ช่วยส่งเสริมแคลเซียมในการสร้างความหนาแน่นให้กับกระดูก วิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ ที่จะช่วยในการดูดแคลเซียม วิตามินเอ มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับสร้างกระดูกและฟัน เป็นต้น

นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงไม่ผุกร่อนได้ง่าย

ผักและผลไม้ ก็อุดมด้วยแคลเซียมด้วยเช่นกัน

มาดูกันว่ามีผักผลไม่ชนิดใด ที่เราสามารถเลือกทานเพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงกันบ้าง

1.กะหล่ำปลี – กะหล่ำปลีจีน นอกจากจะอุดมด้วยแคลเซียมแล้ว ยังมีฟอสฟอรัส วิตามินเอ ซี กรดโฟลิค เหล็ก เบต้าแคโรทีน และโพแทสเซียมอีกด้วย

2.กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง มีทั้งแคลเซียมและโพแทสเซียมที่ช่วยป้องกันการขาดแคลนแคลเซียมในร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีวิตามินครบทั้ง วิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา บี 2 ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายตามปกติ วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย

3.บลอคโคลี อุดมด้วยแคลเซียม แมงกานีส โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยวิตามินเข้มข้นอย่าง วิตามินเอ ซี และเค ซึ่งให้ผลในการต่อต้านโรคมะเร็ง และช่วยให้เอสโตรเจนส่วนเกินในร่างกายลดน้อยลงได้

4.ผลกีวี ผลไม้รสเปรี้ยวก็ยังอุดมด้วยแคลเซียมเช่นเดียวกัน และยังมีวิตามินซี ลูทีน และแคโรทีนอยด์ที่ทำให้ลดการเป็นโรคหัวใจลงด้วย

5.ผักคะน้า ผักอีก 1 ชนิดที่เป็นแหล่งแคลเซียมสูง ช่วยป้องกันโรคกระดูกบางได้ ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ไม่น้อยกว่านม การทานคะน้าจะช่วยสร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรง เพราะมีสาระสำคัญอย่าง ซันโฟราเฟน สารผลึกอินโดลส์ กรดธรรมชาติโฟลิก และกำมะถัน


6.ใบยอ ผักพื้นบ้านใกล้ตัวคนไทยที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกชั้นยอด เนื่องจากมีวิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีนสูงมาก นอกจากนี้ยังอุดมด้วยคุณาทางอาหารมากมายโดยเฉพาะมีแคลเซียมสูงถึง 469 มิลลิกรัม ต่อใบยอน้ำหนัก 100 กรัม การทานใบยอสุกเพียง 1 ถ้วย ก็ได้แคลเซียมเกือบครบตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแล้ว

7.หอมหัวใหญ่ อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซิลิเนียม เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ฟลาโวนอยด์ และเควอเซทิน ที่ช่วยยับยั้งความเสื่อมของกระดูก การทานหัวหอมใหญ่วันละ 1 กรัม ก็เพียงพอที่จะเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้แล้ว

อีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่รักการทานผักและผลไม้ และผู้ที่ไม่อยากทานแคลเซียมจากสารสังเคราะห์ นมถั่วเหลือง หรือปลาเล็กปลาน้อย ก็สามารถหันมาทานผักผลไม้แทนกันได้

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ออกกำลังต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009




ในช่วงปีที่ผ่านมา ไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย แล้วเราจะมีวิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 นี้ได้อย่างไร?

วิธีป้องกันวิธีหนึ่งที่ดีและสามารถทำได้เลย ก็คือ การออกกำลังนั่นเอง แต่หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า จะต้องออกกำลังอย่างไร ต้องออกกำลังแบบหักโหมหรือรุนแรงหรือไม่ ต้องใช้เวลานานเท่าไรในการออกกำลังแต่ละครั้ง และต้องออกกำลังกายบ่อยแค่ไหน ถึงจะช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคได้

มีคำแนะนำที่น่าสนใจเลยค่ะว่า การออกกำลังกายที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทาน และลดโอกาสในการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ก็คือ การออกกำลังแบบแอโรบิค ด้วยความแรงระดับปานกลาง จะช่วยสร้างภูมิต้านทานของร่างกายได้มากกว่าการออกกำลังแบบหักโหมหรือรุนแรง  และยังไม่กระตุ้นให้ฮอร์โมนเครียด (stress hormone) และสารซัยโตคายน์(cytokines) ซึ่งมีฤทธิ์กดภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้นขณะออกกำลังด้วย และหากเราออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี และลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราออกกำลังอย่างหักโหมหรือรุนแรง จนทำให้อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่าร้อยละ 80 - 85 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (อัตราการเต้นหัวใจสูงสุดเท่ากับ 220 – จำนวนปีอายุ) หรือออกกำลังกายต่อเนื่องเป็นระยะเวลามากกว่า 90 นาที กลับจะไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนเครียดและสารซัยโตคายน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ภูมิต้านทานลดลงได้ เช่น ระดับแอนติบอดีชนิดไอจีเอ (IgA) ในน้ำลายและเยื่อบุทางเดินหายใจลดลง ปริมาณและฤทธิ์ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที-ลิมโฟซัยท์ (T-cell) และเซลล์พิฆาต (natural killer cell) ลดลง การเคลื่อนไหวของซีเลียบริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจลดลง ทำให้ประสิทธิผลการกวาดเชื้อโรคออกไปลดลงด้วย ภูมิต้านทานที่ลดระดับลงจะเกิดขึ้นประมาณ 3 - 72 ชั่วโมงหลังการออกกำลัง จึงอาจทำให้มีโอกาสที่เชื้อไวรัสและแบคทีเรียบุกเข้าโจมตีร่างกายได้ง่าย

แล้วการออกกำลังกายระดับปานกลางจะทำได้อย่างไร?

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ด้วยความแรงระดับปานกลาง ควรทำอย่างน้อยวันละ 30 นาที และ 5 วันต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว สำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่ค่อยออกกำลัง ควรเริ่มจากการเดินประมาณ 5 -10 นาที ประมาณ 3 วันต่อสัปดาห์ แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาต่อวันในแต่ละสัปดาห์ขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความเร็ว จนท้ายที่สุดสามารถเดินเร็วได้ 30 นาทีต่อวัน ให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์ 

แต่ถ้าชอบออกกำลังด้วยวิธีอื่น เราก็สามารถวัดได้ด้วยการใช้ความรู้สึกเหนื่อย คือ ถ้าหายใจเร็วและลึกมากกว่าปกติแต่ไม่ถึงกับหอบ หัวใจเต้นเร็วขึ้น หรือยังสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ขณะออกกำลังกายจนจบประโยค ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายระดับปานกลางแล้ว 

การออกกำลังกายนอกจากช่วยเสริมระบบภูมิต้านทานโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แล้ว ยังช่วยลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และเต้านม น้ำหนักเกินและโรคอ้วน แถมยังมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้นและควบคุมโรคได้ 

ที่สำคัญในการมีสุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว ควรกินอาหารที่หลากหลายและได้สัดส่วน พยายามลดความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเสริมระบบภูมิต้านทานให้ร่างกายเช่นกันค่ะ

รู้ทันไข้หวัดใหญ่ 2009 ปลอดภัยแน่นอน




ปีนี้มีข่าวโรคระบาดที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก นั่นคือ ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้แตกต่างจากที่มนุษย์เราเคยเจออย่างไร อันตรายมากแค่ไหน และควรป้องกันอย่างไร
    
ไข้หวัดใหญ่ 2009 เดิมเรียกว่า ไข้หวัดหมู ต่อมาเปลี่ยนไปเป็นชื่อประเทศที่พบเป็นประเทศแรกคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A H1N1
    
ไข้หวัดชนิดนี้เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด A สายพันธุ์ H1N1 ที่มีสารพันธุกรรมจากไวรัสของคน หมู และนกผสมกัน เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ไม่ใช่จากหมูมาสู่คน ลักษณะการติดต่อจึงเป็นจากคนสู่คน ไม่ใช่จากหมูสู่คน ซึ่งไม่เหมือนไข้หวัดนกที่มีการติดต่อจากสัตว์ปีกมาสู่คนได้ 
    
การติดต่อของไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป คือ เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วย แล้วแพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ จามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา 
    
เมื่อติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ไอ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ท้องร่วง ปวดศีรษะ และมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรง ถ้าเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือมีร่างกายอ่อนแอ เช่น เป็นโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ อาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้ โดยเฉพาะการอักเสบที่ปอดจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงและมีอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกายเอง 
    
หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ความรุนแรงของไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้น้อยกว่าไข้หวัดนกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนอยู่มาก เพราะโอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตจากไข้หวัดนกมีสูงถึง 60% แต่ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 6% เท่านั้นเอง การรักษาที่ดีที่สุด คือ เมื่อมีอาการเข้าข่ายให้รีบพบแพทย์ แพทย์จะแยกผู้ป่วยไม่ให้กระจายเชื้อ โดยสวมหน้ากากอนามัย และให้ยาทามิฟลูหรือโอเซลทามิเวียร์ภายใน 48 ชั่วโมงที่มีไข้ ก็ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่รอดชีวิตได้
    
ส่วนการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ดูแลตัวเองให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และรักษาความสะอาด เช่น หมั่นล้างมือ เพียงเท่านี้ก็สามารถห่างไกลจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้แล้ว

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 ข้อแนะนำ ป้องกันมะเร็ง




ปัจจุบันพบว่าคนไทยเป็น “มะเร็ง” กันมากขึ้นเลยทีเดียว ซึ่งมะเร็งที่พบมาก 6 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งช่องปาก มะเร็งที่พบมากในคุณผู้ชายมักจะเป็นมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนในคุณผู้หญิงที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งคือมะเร็งปากมดลูก ตามด้วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด 

จากสถิติของคนทั่วโลก ก็มีคนเป็นโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นทุกนาทีเช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุของการเกิดมะเร็งมีมากมายหลายปัจจัยที่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ป้องกันไม่ได้และป้องกันได้ คุณอาจคิดว่าจะทำอย่างไรดีล่ะที่คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงได้มากที่สุด เรามีวิธีที่คุณควรปฏิบัติ 10 ข้อมาแนะนำเพื่อช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคมะเร็ง 

1. ปรับปรุงเรื่องอาหารการกิน อย่าลืมว่าไม่มีอาหารชนิดใดเพียงชนิดเดียวที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่การรับประทานอาหารไขมันต่ำ อาหารเส้นใยสูงอย่างผลไม้ ผักหลายๆ ชนิด โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ ซี อี และเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ 

2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เช่น อาหารประเภทปิ้งย่างเกรียม เค็ม รมควัน หมักดอง และอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ ไม่ควรรับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ และจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับอีกด้วย

3. ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีโทษโดยตรงที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในช่องปาก มะเร็ง กล่องเสียง คอหอย หลอดอาหาร ตับ ลำไส้ และเต้านม ทางที่ดีที่สุดควรเลิกดื่ม หรือลองเริ่มต้นโดยการลดปริมาณดู และไม่ควรดื่มเกิน 4 แก้วต่อสัปดาห์ 

4. ลดน้ำหนัก เพราะความอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก 

5. หยุดสูบบุหรี่ เพราะยาสูบเป็นเหตุแห่งมะเร็งปอด และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกล่องเสียง มะเร็ง ช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ไต ตับอ่อน 

6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉง และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งลดน้อยลง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าสามารถออกกำลังกายให้ได้ถึง 5 วัน ต่อสัปดาห์จะดีเยี่ยม 

7. ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยเฉพาะใช้ครีมกันแดด SPF 25 ขึ้นไป และควรเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา สิบโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงเย็น

8. หลีกเลี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่ก่อมลพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น แร่ใยหิน และสารเคมีต่างๆที่ใช้กันในงานก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันรถยนต์ต่างๆ รวมทั้งสารเคมีที่ใช้ในบ้าน เช่น ยาฆ่าแมลง เป็นต้น 

9. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ซึ่งไวรัสตับอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งตับ หรือฉีดวัคซีน HPV เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

10. คอยหมั่นสังเกตและตรวจความผิดปกติของร่างกายตัวเองเป็นประจำ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะคนที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง หรือคนที่เคยเป็นมะเร็งไม่ว่าจะเป็นที่ส่วนใดมาก่อน ซึ่งทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนปกติ ดังนั้นต้องระวังเรื่องสุขภาพให้มาก โดยเฉพาะวิถีการใช้ชีวิต อาหารการกิน รวมถึงควรทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ

ควรระมัดระวังและดูแลสุขภาพของคุณและดูแลใส่ใจคนในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอนะคะ เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักแข็งแรง อยู่ด้วยกันไปนานๆ ปลอดภัยจากมะเร็งร้ายกัน

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เส้นทางสู่ความไม่มีโรค


เส้นทางสู่ความไม่มีโรค

 เส้นทางที่จะนำเราไปสู่ความไม่มีโรคนั้น จะว่าเป็นเรื่องยากก็ยาก จะว่าเป็นเรื่องง่ายก็ง่าย ที่จริงวิธีการนั้นง่ายๆ แต่การกระทำนั้นค่อนข้างยาก ที่ยากเพราะว่าเรามักจะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ซึ่งมักเป็นชีวิตที่ทำลายสุขภาพเสียมาก เราจึงปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เป็นแบบใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติดั้งเดิมได้ยากหน่อย
                แต่สิ่งที่ยากไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ มันยากเพราะเรายังไม่เคยชินมากกว่า เราจึงไม่อยากเปลี่ยนแปลงความเคยชินแบบเดิมๆ ของเราไปหาสิ่งใหม่ๆ ที่เราก็ไม่แน่ใจว่าจะดีกว่าชีวิตแบบเดิมๆ ของเราหรือไม่
                เราอาจต้องรอจนถึงวันหนึ่งที่ร่างกายของเราเตือนเราด้วยการเจ็บป่วยขึ้นมา เราจึงจะหาทางปรับเปลี่ยนชีวิตของเราเสียใหม่ สังเกตไหมครับว่า ชีวิตของคนเจ็บป่วยกับชีวิตของคนปกตินั้นต่างกันอย่างไร เราคงอยากมีชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม แต่ชีวิตแบบเดิมๆ นั้นอาจเป็นต้นเหตุให้เราเกิดโรคในวันนี้ก็ได้ ถ้าเราไม่แก้ไขที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญ เราก็ไม่อาจมีสุขภาพที่ดีกลับคืนมาได้อีก
                โรคเรื้อรังที่ชาวโลกทั้งโลกกำลังเป็นกันอย่างมากมายเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภูมิแพ้ก็ตาม โรคเหล่านี้เป็นโรคที่ไม่มียารักษา มีแต่การใช้ยาบรรเทาอาการไปตลอดชีวิตเท่านั้น เราไม่อาจหายขาดจากโรคนี้ได้ด้วยยา
                โรคที่คุกคามชาวโลกวันนี้ สังเกตดูดีๆ จะพบว่ามันมีสาเหตุมาจาก “พฤติกรรม” ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคเหมือนสมัยโบราณ แต่เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่ผิดธรรมชาติของคนเรา ทั้งด้านอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย การทำงาน และสิ่งแวดล้อมของสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่เอื้อให้เกิดภาวะสุขภาพดี แต่กลับเป็นปัจจัยเอื้อให้เกิดโรคภัยมากกว่า ที่ร้ายกว่านั้นคือเราไม่รู้ตัวว่าการใช้ชีวิตของเรา เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคขึ้นมา เราจึงไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุสำคัญ แต่แก้ไขที่ปลายเหตุเพื่อให้อาการทุเลาลง กลบเกลื่อนอาการต่างๆ ไว้ ทำให้โรคซุกซ่อนอยู่ภายในและแพร่ขยายตัวมากขึ้น เกิดเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าเดิมขึ้นตามมาเป็นระลอกๆ
                เส้นทางที่จะนำเราไปสู่สุขภาพดีนั้นจึงมีเคล็ดลับสำคัญคือ การใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผลวิจัยชี้ สาวเสริมเต้าอัพไซส์เสี่ยงตายด้วยมะเร็งเต้านม!?


ผลวิจัยชี้ สาวเสริมเต้าอัพไซส์เสี่ยงตายด้วยมะเร็งเต้านม!?

ผลงานวิจัยจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ประเทศแคนาดา ซึ่งได้รับการเผยแพร่ในวารสาร บริติช เมดิคัล เจอนัล ฉบับออนไลน์ ได้ทำการสำรวจหาความเกี่ยวข้องกันระหว่างการศัลยกรรมเสริมหน้าอก และโรคมะเร็งเต้านมในหมู่สุภาพสตรีชาวแคนาดา อเมริกา และยุโรปตอนเหนือ พบว่าหญิงที่อัพไซส์มามีโอกาสจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมสูง เพราะวัสดุที่ใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มขนาด ซึ่งมักเป็นซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือ เป็นวัสดุที่ให้รังสีทะลุผ่านได้น้อย ทำให้มองเห็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหลังได้เพียง 20%-80% เมื่อตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยการทำแมมโมแกรม ผลการวินิจฉัยโรคจึงมีโอกาสผิดพลาดสูง และกว่าจะรู้ตัวก้อนเนื้อก็พัฒนาไปเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรงแล้ว 

          เหล่านักวิจัยได้ทำการศึกษาในกลุ่มสตรี 1,000 ราย ที่เสริมหน้าอกและถูกคุกคามด้วยโรคมะเร็งเต้านม พบว่า หญิงกลุ่มนี้ถึง 26% เพิ่งตรวจพบมะเร็งเต้านมเมื่อมันได้พัฒนาไปสู่ขั้นรุนแรงแล้ว ส่วนการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่สำรวจในกลุ่มสตรี 600 รายที่เสริมหน้าอกและพบอาการของโรคมะเร็งเต้านมด้วย หญิงกลุ่มนี้มีโอกาสจะเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมมากกว่าหญิงป่วยด้วยโรคเดียวกันแต่ไม่เคยเสริมหน้าอกถึง 38%

          อย่างไรก็ดี ในขณะที่การทำแมมโมแกรมไม่ค่อยประสบผลดีนักในหญิงที่เสริมหน้าอกมา แต่ซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือที่ใช้เสริมหน้าอกกลับเอื้อให้คุณผู้หญิงสามารถตรวจหาความผิดปกติที่หน้าอกด้วยวิธีคลำเองได้ง่ายขึ้น เพราะมีความเรียบตึงของวัสดุเสริมหน้าอกอยู่ภายใน ทำให้สามารถรับรู้ความผิดปกติของก้อนเนื้อหรือรอยบุ๋มที่เกิดขึ้นที่หน้าอกได้ชัดเจนมากขึ้น

          ด้วยผลวิจัยที่ออกมายังให้เกิดความน่าตระหนกตกใจในหมู่สาว ๆ ที่เสริมหน้าอก ซึ่งกลายเป็นการศัลยกรรมอันดับต้น ๆ ที่ผู้หญิงนิยมทำกัน ทางกลุ่มผู้วิจัยเองยังได้ออกมากล่าวว่า งานวิจัยของพวกเขานั้นยังเป็นเพียงการวิจัยในกลุ่มเล็ก ๆ และยังไม่มีผลการศึกษาทดลองอื่น ๆ ที่ยืนยันว่าการทำศัลยกรรมหน้าอก กับการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมีความเกี่ยวเนื่องกัน 

          สิ่งที่สรุปออกมาได้จากการศึกษาครั้งนี้ก็คือ "หญิงที่เสริมหน้าอก และเป็นมะเร็งเต้านมด้วย มีโอกาสที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งดังกล่าวสูงกว่าคนทั่วไป" ไม่ใช่ หญิงที่เสริมหน้าอก จะเป็นโรคมะเร็งเต้านม และมีโอกาสเสียชีวิตสูง 

          สาว ๆ ที่กำลังตัดสินใจจะไปเสริมหน้าอก จึงน่าจะเบาใจลงไปได้เปลาะหนึ่งว่าการเสริมหน้าอกไม่ใช่สาเหตุที่นำพาคุณไปสู่โรคมะเร็งเต้านม แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่คุณยังคงต้องเผชิญก็คือความเสี่ยงในการศัลยกรรม รวมทั้งแบกรับความผิดพลาดซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงในการตรวจพบโรคมะเร็งเต้านม อันจะนำมาซึ่งการรักษาที่ล่าช้าเกินควร และเกิดผลร้ายกับชีวิตของคุณได้นะคะ 



ไฝ...แฝงอันตราย อาจกลายเป็นเนื้อร้าย ก่อมะเร็ง


ไฝ...แฝงอันตราย อาจกลายเป็นเนื้อร้าย ก่อมะเร็ง

กลายเป็นข่าวที่สร้างความตกตะลึงไม่น้อย เมื่อคุณลุงเกี๊ยง หรือ นายเกี๊ยง ชำนาญเขียว อายุ 70 ปี ไฝแตกที่ข้างแก้ม แต่ไม่ยอมไปหาหมอ หนำซ้ำยังซื้อยารักษาอาการด้วยตนเอง เวลาที่แผลมีหนองก็จะใช้เข็มเจาะเพื่อเอาหนองออก และเนื้อส่วนไหนตายก็จะใช้กรรไกรตัดเล็บตัดออก จนแผลของลุงเกี๊ยงเริ่มลุกลาม ทำให้ใบหน้าหายยุบเข้าไป เป็นที่น่าเวทนาของผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก

          ทั้งนี้ ทางด้าน ศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้กล่าวถึงกรณีลุงเกี๊ยงว่า ลักษณะจุดดำคล้ายไฝของลุงเกี๊ยง จริง ๆ แล้วเซลล์ชนิดนี้คือมะเร็งชนิดหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่า "มะเร็งไฝ" มักจะขึ้นตามใบหน้าและใบหู โดยเฉพาะจุดใกล้ ๆ จมูก เช่นเดียวกับลุงเกี๊ยง ซึ่งหากไม่พบแพทย์ เซลล์ตัวนี้ก็จะกินเนื้อผิวหนังไปเรื่อย ๆ หรือทีเรียกกันว่า "แผลหนูแทะ" ในทางการแพทย์เรียกว่า "Basal Cell" 

          สำหรับคนไทยมักจะเป็นกันมากในกลุ่มชาวไร่ ชาวสวน และกรรมกร ที่ทำงานอยู่กลางแดดมาตลอดชีวิต พออายุมากขึ้นก็จุดดำดังกล่าวก็จะขึ้นตามใบหน้า ใบหู หรือบางคนก็ขึ้นที่ศีรษะ ซึ่งต้องคอยสังเกตอาการ ถ้าหากขึ้นมาแล้วไม่หาย ให้ไปพบแพทย์ และแพทย์ก็จะทำการตรวจด้วยกล้องเดอโมสโคป โดยในเบื้องต้นจะระบุได้เลยว่า จุดดำดังกล่าวเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ ถ้าใช่แพทย์ก็จะทำการตัดออกและทายา ซึ่งสามารถรักษาหายได้ แต่คนไข้ส่วนใหญ่มักไม่ทราบ และแยกไม่ออก เพราะคิดว่าจุดดำดังกล่าวเป็นไฝธรรมดา จึงไม่มาพบแพทย์ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นโรคร้าย พอนาน ๆ เข้าก็จะลุกลามกินเนื้อเหมือนหนูแทะไปเรื่อย ๆ 

          ศ.นพ.ประวิตร เผยถึงวิธีดูว่าจุดดำดังกล่าว เป็นไฝหรือเนื้อร้ายด้วยว่า ถ้าหากเป็นไฝธรรมดา ก็จะโตถึงจุดหนึ่งแล้วจะหยุด และจะต้องมีไม่เกิน 100 เม็ด ส่วนเด็กต้องมีไม่เกิน 50 เม็ด ซึ่งถ้าหากไฝมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และมีรอยนูนใหญ่ขึ้น ก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเซลล์สี หรือเมลาโนมาอีกด้วย 

สำหรับวิธีสังเกตไฝ ที่มีลักษณะผิดปกติ

           1. ไฝที่เกิดการระคายเคืองบ่อย ๆ
           2. ไฝในบริเวณที่สังเกตได้ยาก เช่น บนหนังศีรษะ หรืออวัยวะเพศ
           3. ไฝที่มีมาแต่กำเนิดและขนาดใหญ่ เช่น ไฝยักษ์ (Giant congenital melanoma)
           4. ไฝที่มีสีดำเข้มผิดปกติกว่าที่อื่น ๆ
           5. ไฝที่เปลี่ยนสีอย่างกะทันหัน
           6. ขอบไฝไม่เรียบ
           7. ไฝที่มีขนาดใหญ่เกิน 5 มิลลิเมตร
           8. ไฝที่เปลี่ยนแปลงขนาดและโตขึ้นเร็วในระยะเวลาอันสั้น
  
          อย่างไรก็ดี ทางการแพทย์ระบุว่า คนไทยส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งชนิดนี้ ประมาณปีละ 340 คน ส่วนมากจะเกิดกับคนผิวขาวที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งหากทำงานที่ต้องถูกแดดมาก ก็จะมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นควรสังเกตขนาดและความผิดปกติว่าจุดดำดังกล่าว เป็นเพียงแค่ไฝธรรมดา หรือมะเร็งร้ายกันแน่