Social Icons

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง


รูปภาพ : น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง 

พอย่างเข้าสู่วัยทองของหญิงทั้งหลาย ก็เป็นวิ่งหาอาหารมาบำรุง อารมณ์ และอาการหงุดหงิดกันให้วุ่นวาย   พอเริ่มอายุเข้า 46 ปี ก็เริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลย  จนคนข้างต้องคอยถามกันบ่อยๆว่าเป็นอะไร ทำไมหงุดหงิดง่ายจัง ไอ้ตัวเรารึก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยกับการโมโหคนที่พูดไม่เข้าหู  แต่เอ...ทำไมคนพูดไม่เข้าหูบ่อยจัง  ก็เลยพยายามที่จะเข้าใจคนที่เขาทักมาว่าเกิดอะไรกับตัวเอง  รึเราจะเริ่มเข้าวัยทอง... จนอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล  ไม่น่าจะร้อนก็ร้อน ร้อนเฉพาะใบหน้าสักพักก็เหงื่อออกเต็มไปหมด  ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อไปหมด บางครั้งแทบจะเดินไม่ได้เลย เอาหล่ะวัยทองแน่แล้วเราจะทำไงดีเนี่ย..  พี่ๆ เพื่อนๆ จึงเริ่มแนะนำอาหารให้รับประทานดับความร้อนในกายและอาการต่างๆ เป็นต้นว่า น้ำเต้าหู้  น้ำงาดำ น้ำมะพร้าวเต้าหู้ ข้าวโพด  เอาหล่ะเรา น้ำเต้าหู้เขาว่าดีนักแลสำหรับคนวัยทอง แต่เราทานได้ไม่เกิน 3 วัน ก็จะทานไม่ลงแล้ว  แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำก็ต้องพยายามที่จะหันมาชอบให้ได้  "น้ำงาตำก็ดีมากๆเลยนะน้อง" พี่ๆก็พยามยามชักชวนเมนูถัดไป เอาสิดีก็ดี ก็ต้องลองหามาทานอีก

  เมื่อจะทานทั้งทีก็ต้องรู้ว่ามันดีอย่างไรบ้าง ถามพี่ที่แนะนำให้ทานนว่ามันดีอย่างไร คำตอบ "เอาเถอะน่าเค้าบอกว่าดีก็ดีน่า.." ก็เลยหันมาค้นคว้าทาง internet ดู ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาพอประมาณ

เมล็ดงาเล็กๆนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ได้แก่ โปรตีนทีมีกรดอะมิโนเมธิโอนีน  ถ้าจะเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองละก็งามีมากกว่า  และในน้ำมันงาที่มีอยู่ในเมล็ดงายังเป็นกรดไขมันฃนิดไม่อิ่มตัวสูง อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 และที่สำคัญยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก ที่จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงาสวย ผิวพรรณชุ่มชื้น หมุ่มสาวคงจะชอบใจกันเป็นแน่

ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ งามีแคลเซียมมากว่านมวัวถึง 6 เท่า มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แมกนีเฃียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเฃียม และทองแดง

มีวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านการเกิดโรงมะเร็ง

มีวิตามินบีหลายชนิดด้วยกัน ที่ทำหน้าที่บำรุงระบบประสาท

แล้วเราจะทานกันแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

ถ้าเป็นวัยหนุ่ม สาว ก็ให้ทานวันละประมาณ 3-4 ช้อน แต่ถ้าเริ่มเข้าวัยทอง ให้ทานกัน 6- 9 ช้อน การจะทานงาให้ได้คุณค่านั้น จะต้องเคี้ยวให้เมล็ดงาแตก หรือคั่วบดก็ได้ ร่างกายจะได้ดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินทั้งหมดได้ ถ้าเราเคี้ยวไม่แตกเมล็ดงาก็จะถูกขับออกมาแบบไม่ได้ประโยชน์

วิธีการคั่วงาให้ได้คุณค่า

 คั่วงาที่ไฟอ่อนๆ อย่าให้ไฟแรงเกินไป คั่วไปสักพักก็ให้ยกกระทะออกแล้วคั่วนอกไฟสักพัก แล้วจึงคั่วต่อที่ไฟจนพอได้กลิ่นหอมงา ยกออกจากไฟลองชิมดูว่างาไม่ขมและกรอบดีแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย  เทงาที่คั่วใส่จานแบบกว้างๆ หรือถาด ผึ่งให้งาหายร้อน จึงนำมาบดด้วยครกหิน หรือเครื่องบดก็ได้แต่ควรจะบดแค่พอเมล็ดงาแตกอย่าบดจนป่นละเอียด เราก็จะก็จะได้งาคั่วบดที่หอม เก็บใส่กระปุกไว้ทานกับอาหารได้หลายประเภท เราควรจะคั่วงาในปริมาณไม่มากนัก เพราะถ้าเราคั่วไว้มากๆ จะทำให้งาไม่หอมและเหม็นหืน

 การคั่วงาด้วยไฟแรงจะทำให้งาไหม้ก่อนที่งาจะสุกหอม  เมื่อคั่วงาเสร็จใหม่ๆแล้วนำมาบดเลยก็จะทำให้งาเป็นน้ำมัน

http://raja.thaikm4u.com/blog/malagay2/398

น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง 

พอย่างเข้าสู่วัยทองของหญิงทั้งหลาย ก็เป็นวิ่งหาอาหารมาบำรุง อารมณ์ และอาการหงุดหงิดกันให้วุ่นวาย พอเริ่มอายุเข้า 46 ปี ก็เริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลย จนคนข้างต้องคอยถามกันบ่อยๆว่าเป็นอะไร ทำไมหงุดหงิดง่ายจัง ไอ้ตัวเรารึก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยกับการโมโหคนที่พูดไม่เข้าหู แต่เอ...ทำไมคนพูดไม่เข้าหูบ่อยจัง ก็เลยพยายามที่จะเข้าใจคนที่เขาทักมาว่าเกิดอะไรกับตัวเอง รึเราจะเริ่มเข้าวัยทอง... จนอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล ไม่น่าจะร้อนก็ร้อน ร้อนเฉพาะใบหน้าสักพักก็เหงื่อออกเต็มไปหมด ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อไปหมด บางครั้งแทบจะเดินไม่ได้เลย เอาหล่ะวัยทองแน่แล้วเราจะทำไงดีเนี่ย.. พี่ๆ เพื่อนๆ จึงเริ่มแนะนำอาหารให้รับประทานดับความร้อนในกายและอาการต่างๆ เป็นต้นว่า น้ำเต้าหู้ น้ำงาดำ น้ำมะพร้าวเต้าหู้ ข้าวโพด เอาหล่ะเรา น้ำเต้าหู้เขาว่าดีนักแลสำหรับคนวัยทอง แต่เราทานได้ไม่เกิน 3 วัน ก็จะทานไม่ลงแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำก็ต้องพยายามที่จะหันมาชอบให้ได้ "น้ำงาตำก็ดีมากๆเลยนะน้อง" พี่ๆก็พยามยามชักชวนเมนูถัดไป เอาสิดีก็ดี ก็ต้องลองหามาทานอีก

เมื่อจะทานทั้งทีก็ต้องรู้ว่ามันดีอย่างไรบ้าง ถามพี่ที่แนะนำให้ทานนว่ามันดีอย่างไร คำตอบ "เอาเถอะน่าเค้าบอกว่าดีก็ดีน่า.." ก็เลยหันมาค้นคว้าทาง internet ดู ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาพอประมาณ

เมล็ดงาเล็กๆนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ได้แก่ โปรตีนทีมีกรดอะมิโนเมธิโอนีน ถ้าจะเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองละก็งามีมากกว่า และในน้ำมันงาที่มีอยู่ในเมล็ดงายังเป็นกรดไขมันฃนิดไม่อิ่มตัวสูง อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 และที่สำคัญยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก ที่จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงาสวย ผิวพรรณชุ่มชื้น หมุ่มสาวคงจะชอบใจกันเป็นแน่

ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ งามีแคลเซียมมากว่านมวัวถึง 6 เท่า มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แมกนีเฃียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเฃียม และทองแดง

มีวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านการเกิดโรงมะเร็ง

มีวิตามินบีหลายชนิดด้วยกัน ที่ทำหน้าที่บำรุงระบบประสาท

แล้วเราจะทานกันแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

ถ้าเป็นวัยหนุ่ม สาว ก็ให้ทานวันละประมาณ 3-4 ช้อน แต่ถ้าเริ่มเข้าวัยทอง ให้ทานกัน 6- 9 ช้อน การจะทานงาให้ได้คุณค่านั้น จะต้องเคี้ยวให้เมล็ดงาแตก หรือคั่วบดก็ได้ ร่างกายจะได้ดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินทั้งหมดได้ ถ้าเราเคี้ยวไม่แตกเมล็ดงาก็จะถูกขับออกมาแบบไม่ได้ประโยชน์

วิธีการคั่วงาให้ได้คุณค่า

คั่วงาที่ไฟอ่อนๆ อย่าให้ไฟแรงเกินไป คั่วไปสักพักก็ให้ยกกระทะออกแล้วคั่วนอกไฟสักพัก แล้วจึงคั่วต่อที่ไฟจนพอได้กลิ่นหอมงา ยกออกจากไฟลองชิมดูว่างาไม่ขมและกรอบดีแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย เทงาที่คั่วใส่จานแบบกว้างๆ หรือถาด ผึ่งให้งาหายร้อน จึงนำมาบดด้วยครกหิน หรือเครื่องบดก็ได้แต่ควรจะบดแค่พอเมล็ดงาแตกอย่าบดจนป่นละเอียด เราก็จะก็จะได้งาคั่วบดที่หอม เก็บใส่กระปุกไว้ทานกับอาหารได้หลายประเภท เราควรจะคั่วงาในปริมาณไม่มากนัก เพราะถ้าเราคั่วไว้มากๆ จะทำให้งาไม่หอมและเหม็นหืน

การคั่วงาด้วยไฟแรงจะทำให้งาไหม้ก่อนที่งาจะสุกหอม เมื่อคั่วงาเสร็จใหม่ๆแล้วนำมาบดเลยก็จะทำให้งาเป็นน้ำมัน