Social Icons

Featured Posts

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รู้เรื่อง “ถั่ว”


รูปภาพ : รู้เรื่อง “ถั่ว”

ถั่ว คือ พืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae จัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ถั่วฝัก (Bean) เป็นถั่วในฝักที่มีเมล็ดไม่กลม กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว ถั่วแปบ หรือกินเฉพาะเมล็ด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า

2.ถั่วฝักเมล็ดกลม (Pea) เป็นถัวในฝักที่มีเมล็ดกลม กินฝักสดที่ยังไม่แก่เต็มที่ บางครั้งเรียกว่า Green Pea เช่น ถั่วลันเตา ถั่วชิกพี

3.ถั่วเมล็ดแบน (Lentil) ลักษณะเมล็ดแบนเล็กเหมือนนัยน์ตาคน มีหลายสี เช่น เขียว น้ำตาล

นอกจากนี้เมล็ดของถั่วทั้ง 3 กลุ่มยังแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1.ถั่วน้ำมัน (Oilseed legume) คือ ชนิดที่มีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง

2.ถั่ว Pulse คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ ซึ่งสะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต และเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า ฯลฯ
ถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ได้แก่ ส่วนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ พิสทาชิโอ วอลนัท แมคาเดเมีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง มีเปลือกผลแข็งมาก แม้ “นัท” จะมีโปรตีนน้อยกว่าถั่วเมล็ดแห้งแต่นัทเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอัลมอนด์อุดมไปด้วยแมกนีเซียมสูง ซึ่งในถัวเมล็ดแห้งนั้นมีเพียงน้อยนิด

ประโยชน์ของถั่ว

1.เปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งมีหลากสี เช่น เขียว ดำ แดง น้ำตาลส้ม ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ โครงสร้างของเปลือกถัวและเนื้อในเมล็ดมีใยอาหารปริมาณสูง ซึ่งมีทั้งแบบที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้

- ชนิดไม่ละลายในน้ำ จะช่วยเพิ่มกากใยและอุ้มน้ำ ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายเป็นปกติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และริดสีดวงทวาร

- ชนิดละลายในน้ำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารชนิดนี้จับตัวกับน้ำได้ดีซึ่งมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบแล้วขับออกจากร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกานใช้คอเลสเตอรอลที่มีอยู่มาสร้างน้ำดีเพื่อทดแทน ผลก็คือจะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก

2.เอนโดสเปิร์ม (Endosperm) คือ อาหารที่สะสมที่อยู่ในเมล็ดถัวเป็นส่วนสำคัญในการงอกของเมล็ดเป็นต้นอ่อน ซึ่งบรรจุสารอาหารที่มีคุณค่าไว้มากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน แร่ธาตุบางชนิด เอนไซม์

- คาร์โบไฮเดรต จะสะสมอยู่ในรูปของแป้ง เมื่อรับประทานถัวร่างกายจะย่อยแป้งที่มีอยู่นถั่วและดูดซึมน้ำตาลที่ได้ไปใช้อย่างช้าๆ ทำให้มีกลูโคสลำเลียงเข้าไปในเลือดอย่างสม่ำเสมอ การกินถัวเมล็ดแห้งจึงเป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

 - ไขมัน ในถั่วมีไขมันค่อนข้างต่ำ ยกเว้นถั่วเหลืองที่มีไขมันสูงถึง 30-35% แต่ไขมันดังกล่าวจะมีปริมาณของไขมันคุณภาพดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ กรดไลโนเลอิกและกรดโอเลอิก ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก น้ำมันถั่วเหลืองจึงเป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพ

 - โปรตีน โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ ฮอร์โมน โลหิต และความเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ คุณภาพของโปรตีนจึงต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในเมล็ดถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแม้ว่าหลายๆ คนจะบอกว่าคุณภาพโปรตีนจะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ แต่ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดแอมิโนที่จำเป็นอยู่ 10 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในเมล็ดถั่วมีกรดแอมิโนทั้งสิบชนิดไม่แตกต่างจากเนื้อสัตว์เพียงแต่มีปริมาณของกรดแอมิโนบางชนิดน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการบริโภคโปรตีนจากถั่วต้องรับประทานธัญพืชอย่างอื่นเสริมด้วยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะมีโปรตีนแล้วยังมีไขมันอิ่มตัวแทรกอยู่ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง

3.เอนไซม์และแร่ธาตุ เอนไซม์ที่มีอยู่ในถัวเมล็ดแห้งจะเป็นเอนไซม์ที่ยังไม่ทำงานกระทั่งเมื่อได้รับน้ำและออกซิเจนจึงจะเริ่มทำงาน ช่วยให้เมล็ดถั่วงอกเป็นต้นอ่อน เมล็ดถั่วยังมีแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม พบมากในถั่วเหลือง เป็นต้น

http://www.samunpri.com/?p=6168

รู้เรื่อง “ถั่ว”

ถั่ว คือ พืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae จัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ถั่วฝัก (Bean) เป็นถั่วในฝักที่มีเมล็ดไม่กลม กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว ถั่วแปบ หรือกินเฉพาะเมล็ด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า

2.ถั่วฝักเมล็ดกลม (Pea) เป็นถัวในฝักที่มีเมล็ดกลม กินฝักสดที่ยังไม่แก่เต็มที่ บางครั้งเรียกว่า Green Pea เช่น ถั่วลันเตา ถั่วชิกพี

3.ถั่วเมล็ดแบน (Lentil) ลักษณะเมล็ดแบนเล็กเหมือนนัยน์ตาคน มีหลายสี เช่น เขียว น้ำตาล

นอกจากนี้เมล็ดของถั่วทั้ง 3 กลุ่มยังแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1.ถั่วน้ำมัน (Oilseed legume) คือ ชนิดที่มีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง

2.ถั่ว Pulse คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ ซึ่งสะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต และเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า ฯลฯ
ถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ได้แก่ ส่วนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ พิสทาชิโอ วอลนัท แมคาเดเมีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง มีเปลือกผลแข็งมาก แม้ “นัท” จะมีโปรตีนน้อยกว่าถั่วเมล็ดแห้งแต่นัทเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอัลมอนด์อุดมไปด้วยแมกนีเซียมสูง ซึ่งในถัวเมล็ดแห้งนั้นมีเพียงน้อยนิด

ประโยชน์ของถั่ว

1.เปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งมีหลากสี เช่น เขียว ดำ แดง น้ำตาลส้ม ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ โครงสร้างของเปลือกถัวและเนื้อในเมล็ดมีใยอาหารปริมาณสูง ซึ่งมีทั้งแบบที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้

- ชนิดไม่ละลายในน้ำ จะช่วยเพิ่มกากใยและอุ้มน้ำ ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายเป็นปกติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และริดสีดวงทวาร

- ชนิดละลายในน้ำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารชนิดนี้จับตัวกับน้ำได้ดีซึ่งมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบแล้วขับออกจากร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกานใช้คอเลสเตอรอลที่มีอยู่มาสร้างน้ำดีเพื่อทดแทน ผลก็คือจะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก

2.เอนโดสเปิร์ม (Endosperm) คือ อาหารที่สะสมที่อยู่ในเมล็ดถัวเป็นส่วนสำคัญในการงอกของเมล็ดเป็นต้นอ่อน ซึ่งบรรจุสารอาหารที่มีคุณค่าไว้มากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน แร่ธาตุบางชนิด เอนไซม์

- คาร์โบไฮเดรต จะสะสมอยู่ในรูปของแป้ง เมื่อรับประทานถัวร่างกายจะย่อยแป้งที่มีอยู่นถั่วและดูดซึมน้ำตาลที่ได้ไปใช้อย่างช้าๆ ทำให้มีกลูโคสลำเลียงเข้าไปในเลือดอย่างสม่ำเสมอ การกินถัวเมล็ดแห้งจึงเป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

- ไขมัน ในถั่วมีไขมันค่อนข้างต่ำ ยกเว้นถั่วเหลืองที่มีไขมันสูงถึง 30-35% แต่ไขมันดังกล่าวจะมีปริมาณของไขมันคุณภาพดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ กรดไลโนเลอิกและกรดโอเลอิก ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก น้ำมันถั่วเหลืองจึงเป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพ

- โปรตีน โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ ฮอร์โมน โลหิต และความเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ คุณภาพของโปรตีนจึงต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในเมล็ดถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแม้ว่าหลายๆ คนจะบอกว่าคุณภาพโปรตีนจะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ แต่ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดแอมิโนที่จำเป็นอยู่ 10 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในเมล็ดถั่วมีกรดแอมิโนทั้งสิบชนิดไม่แตกต่างจากเนื้อสัตว์เพียงแต่มีปริมาณของกรดแอมิโนบางชนิดน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการบริโภคโปรตีนจากถั่วต้องรับประทานธัญพืชอย่างอื่นเสริมด้วยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะมีโปรตีนแล้วยังมีไขมันอิ่มตัวแทรกอยู่ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง

3.เอนไซม์และแร่ธาตุ เอนไซม์ที่มีอยู่ในถัวเมล็ดแห้งจะเป็นเอนไซม์ที่ยังไม่ทำงานกระทั่งเมื่อได้รับน้ำและออกซิเจนจึงจะเริ่มทำงาน ช่วยให้เมล็ดถั่วงอกเป็นต้นอ่อน เมล็ดถั่วยังมีแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม พบมากในถั่วเหลือง เป็นต้น

หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง


รูปภาพ : หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

ผักแขยง ฟังแค่ชื่อก็ไม่ค่อยไม่น่าภิรมย์ รู้สึกแขยงอย่างไรไม่รู้ แล้วยังเรียกว่าผักอีก มันจะกินได้ไหมนี่!แต่ถ้าใครได้รู้จักผักนี้ก็ต้องบอกว่ามันกินได้จริง แต่ไม่ใช่ผักที่นิยมนำมากินได้กินดีกินทุกวันเหมือนผักอื่นๆ ที่สำคัญความเฉพาะของผักนี้อยู่ที่กลิ่น มีกลิ่นหอมฉุนมาก เพราะมีน้ำมันหอมระเหย คนที่ไม่ชื่นชอบผักประเภทกลิ่นฉุนร้อนแรงก็ต้องเบือนหน้าหนี บ้างก็บอกว่าเหม็น

 ผักแขยงจะมีกลิ่นแรง ซึ่งทำให้ผักนี้มีกลิ่นเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง และรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวและชูรสชาติ กลิ่นหอมฉุนนั้นมาจากน้ำมันหอมระเหยในผักซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการเจริญของเชื้อโรค จัดเป็นผักพื้นบ้านในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยในการต้านมะเร็ง  ชาวอีสานและชาวเหนือกินผักแขยงกันมากในรูปของผักเหนาะจิ้มน้ำพริก ลาบ ลู่ แกงอ่อม ที่บ้านแม่จะใส่ในแกงหน่อไม้หรือแกงเปรอะ รสชาติอร่อยจริงๆ

เสน่ห์ของผักแขยงอยู่ที่การชูยอดอวดใบอ่อนและดอกสวยภายใต้ร่มเงาของกอข้าวสีเขียวในทุ่งนา จัดเป็นพืชล้มลุกปีเดียว พอฝนมากอข้าวเติบโต ผักแขยงก็เติบใหญ่ใบงามพอแก่ดอกสีม่วงสวยจับตาอวดความสวยอยู่กลางนา คนสมัยก่อนมักเก็บยอดอ่อนหรือต้นอ่อนมาตากแดดให้แห้งแล้วห่อใส่ถุงเก็บไว้กินนอกฤดูกาล ส่วนมากก็มักใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหาร แต่ปัจจุบันมีการปลูกขายทั่วประเทศและยังส่งออกไปขายแถวยุโรปด้วย ไม่ต้องรอหน้านาก็มีผักแขยงกินทั้งปี

นอกจากเป็นผักชูรสชูกลิ่นแล้ว ยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ ในตำรายาไทยกล่าวว่าผักแขยงรสเผ็ดร้อน หอมฉุน สรรพคุณขับน้ำนม ระบายท้อง แก้ไข้ ช่วยขับลม ช่วยเจริญอาหาร ประสะน้ำนม ฆ่าเชื้อโรค เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้า ใช้รักษาอาการไข้ จะนำต้นสดทั้งต้นล้างให้สะอาดมาต้มกินกับน้ำ ใช้ประมาณ 15-30 กรัม ดื่ม ถ้า ใช้รักษาอาการคัน กลาก ฝี จะใช้ต้นสดต้มกับน้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำทา และอีกวิธีหนึ่งคือตำพอกบริเวณที่มีอาการ

ใช้ แก้พิษงู นำต้นสดๆ ประมาณ 15 กรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับต้นฟ้าทะลายโจรสดเหมือนกันขนาด 30 กรัม แล้วเอาไปผสมกับน้ำส้มปริมาณพอควร คั้นแล้วดื่มน้ำ ส่วนกากนั้นเอาพอกรอบๆ แผลไม่ปิดทับปากแผล น้ำคั้นจากต้นยังเป็นยาขับลม ยาขับน้ำนม และเป็นยาระบาย  ชาวอีสานมีข้อห้ามว่าหญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะจะเกิดอาการแสดงหรือผิดสำแดงได้

ประโยชน์อื่นๆ เกษตรกรนำไปใช้ในการไล่แมลง มีการวิจัยของผักแขยงเพื่อนำไปใช้ทางการเกษตร พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้มีกลิ่นคล้ายน้ำมันสน และสารสกัดด้วยไอน้ำสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มักพบการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารและนม เนื้อสัตว์และไข่ไก่ ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ

จากหนังสือผักพื้นบ้านอีสาน ของสำนักพิมพ์โป๊ยเซียน บันทึกว่าชาวอีสานชอบกินผักแขยงสดๆ กับน้ำพริกปลาร้า เวลาเก็บจะใช้มีดตัดให้เหลือแต่ส่วนโคนต้นที่อยู่ในดิน เพื่อให้มันแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ หมอยาพื้นบ้านแนะว่ากินผักแขยงป้องกันเส้นเลือดตีบตันและไข้ร้อนใน และกินแบบสดๆ นี้ยังช่วยดับกลิ่นตัวกลิ่นเหม็นเต่าได้ด้วย มีเรื่องเล่ากันว่าคนกินผักแขยงสดๆ ก่อนนอนผีพ่อม่ายหรือผีแม่ม่ายไม่กล้ามาเอาไปเป็นผัวเมีย (ป้องกันโรคใหลตาย อันเชื่อว่าผีแม่ม่ายมาเอาไปอยู่ด้วยได้ ซึ่งมักเกิดกับหนุ่มชาวอีสานเสียด้วย)

นอกชายคาสายฝนกำลังตกอย่างพร่างพรู ภายใต้ชายคาที่หลบฝนแว่วเสียงเพลง........
หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ
เขียดโม่ เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน.
หมู่หญ้าตีนกับแก ถูกฝนแลเขียวตระการ ควายทุยเสร็จจากงาน เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา
รุ่งแจ้งพอพุ่มพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา เร่งรุดไถฮุดนา รีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน.
อีสานบ้านของเฮา อาชีพเก่าแต่นานดล เอาหน้าสู้ฟ้าฝน เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา..

..ม่วน..เอ๊ย..โอ...ม่วนเอยม่วนเสียงกบ ร้องอ๊บๆ กล่อมลำเนา..
บทเพลง ที่กระตุ้นสำนึกให้รำลึกถึงบ้านหลังเขาบนที่ราบสูง พร้อมๆ กับได้กลิ่นของผักแขยงที่ลอยเอื้อยอ่อยมากับละอองฝนเย็นฉ่ำ

สีฟันคนทา สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อช่องปากและฟัน  บ้านใครปลูกสีฟันคนทา คนทาไว้ลองนำมาทำยารักษาแผลในปากและยาสีฟันไว้ใช้กัน

ทำยารักษาแผลในปาก เอาเนื้อไม้คนทา 30 กรัม น้ำสะอาด 500 ซีซี นำไปต้มให้เดือดรอจนน้ำงวดจะได้น้ำยาเข้มข้น แล้วเติมสารส้มสะตุ 10 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากันจนละลาย ให้กรองเอาแต่น้ำยา พักไว้

วิธีผสมยารักษาแผลในปาก เอาน้ำสีฟันคนทาที่พักไว้ ผสมกับกลีเซอรีน อัตราส่วน น้ำยา 1 ช้อนชาต่อกลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน จะได้ยาแต้มรักษาแผลในปาก ใช้ได้บ่อยตามที่ต้องการจนแผลหาย

การทำยาสีฟัน ให้เตรียมผงโซเดียมคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ สารส้มสะตุ 1 1/2 ช้อนชา น้ำมันกานพลู 1 1/2 ช้อนชา ผงเปลือกหอย (แคลเซียม) 2 ช้อนชา นำทุกอย่างผสมกันคนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำต้มคนทา 1 ช้อนชา กลีเซอรีน 1 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จะได้เนื้อยาสีฟัน ใช้แปรงฟันทุกวันช่วยให้ฟันทนแข็งแรงไม่ปวดฟัน

ต้มส้มผักแขยง 

ต้มส้มผักแขยง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารพื้นบ้านของภาคอีสาน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ  แต่ก่อนผักแขยงคงหาทานได้เฉพาะทางภาคอีสาน แต่ทุกวันนี้ผักแขยงเป็นผักขึ้นห้าง ถ้าจะวัดว่าห้างไหนใหญ่จริงก็คงต้องดูว่าห้างนั้นมีผักแขยงขายหรือเปล่า 555 อันนี้ล้อเล่น แต่เดี๋ยวนี้ผักแขยงมีขายในห้างแล้วจริงๆ เป็นดัชนีผู้บริโภคบ่งชี้ได้ว่าเดี๋ยวนี้พี่น้องชาวอีสานได้ไปทำมาหากินต่างถิ่นต่างแดนมาก แต่คงไม่มีที่ไหนจะให้ความสุขเท่าบ้านเราเอง เข้าเมืองกรุงได้เงินง่ายได้ตังค์เยอะก็ไม่ค่อยเหลือเพราะทุกอย่างต้องซื้อต้องจ่าย ตรงกันข้ามที่บ้านกว่าจะได้เงินมันไม่ง่ายแต่แทบไม่มีรายจ่าย แล้วมันต่างกันตรงไหน เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนมีความสุขก็ทำกันต่อไป 

ถ้าไปเที่ยวปาย แม่ฮ่องสอน คิดฮอดอยากกินอาหารอีสานบ้านเฮาอย่างต้มส้มผักแขยง ก็ไปทานกันได้ที่ร้านอาหารครัวระเบียงปายเด้อครับ ต้องขออภัยถ้าใช้สำเนียงผิดพลาดเพราะผมเป็นเด็กใต้อยู่สุราษฎร์ ฟังคำอีสานพอได้นิดหน่อย ส่วนพูดไม่ได้เลย  แต่ถ้าให้พูดใต้ละก็ สบม.555 บ่อยครั้งเชฟสุรินทร์พูดภาษาปักษ์ใต้กับผม แต่แล้วก็ฟังผมไม่รู้เรื่องว่าผมพูดอะไร คงเป็นเพราะห่างใต้มานานมากและชินกับภาษาหลากหลายวัฒนธรรม  หลากหลายอย่างไร เวลาไปทานที่ร้านครัวระเบียงปายถ้าเชฟว่างๆ ก็ลองเชิญมาคุยดู เชฟเป็นกันเองน่ารักมาก  เอ๊ะเขียนไปชักเลอะอีกแล้ว เอาเป็นว่ากลับมาเข้าเรื่องทำ ต้มส้มผักแขยง กันดีกว่า 

ส่วนประกอบและวิธีทำ ต้มส้มผักแขยง

1 ปลาคังหั่นเป็นท่อนประมาณ 2 ขีด 3 ชิ้น หรือปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ 6 ขีด ทำความสะอาดก่อนแล้วลวกด้วยน้ำเดือดจัด เพื่อล้างคาว
2 ตำเครื่องมี พริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ , กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ , เกลือ 1 ช้อนชา , ขมิ้นทุบ 1 แง่ง ทุกอย่างตำพอแหลก
3 น้ำซุป 4 ถ้วยตวงใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ใส่พริกแกงลงไป เดือดแล้วใส่ปลาลงไป รอน้ำเดือดใส่เครื่องปรุงมี หอมแดงหั่นลูกเต๋า 1 หัว , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ , ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ , ผักแขยง หั่นเป็นท่อน 1 ขีด , ต้นหอมตัดเป็นท่อน 3 ต้น ใบโหระพา 2-3 ช่อ รอซักครู่พอน้ำเดือดอีกครั้ง ปิดไฟยกลงจากเตา ชิมดูจะออก เปรี้ยวนำ เผ็ดตาม  หวานและเค็มนิดหน่อย

เทคนิคการทำต้มส้มผักแขยง

1  การลวกปลาก่อนนำไปปรุงอาหารจริงเพื่อล้างกลิ่นคาวปลาออกไป และไม่ให้เนื้อปลาหดตัวมาก เวลาโดนความร้อนนานๆ
2 เทคนิคในการใส่เครื่องปรุงหรือผักลงในต้มส้มหรือแกงอื่นๆก็ตาม ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนที่จะใส่ขั้นตอนต่อไป 

http://www.ryt9.com/s/tpd/953625

http://paicooker.blogspot.com/2012/06/blog-post_4726.html

หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

ผักแขยง ฟังแค่ชื่อก็ไม่ค่อยไม่น่าภิรมย์ รู้สึกแขยงอย่างไรไม่รู้ แล้วยังเรียกว่าผักอีก มันจะกินได้ไหมนี่!แต่ถ้าใครได้รู้จักผักนี้ก็ต้องบอกว่ามันกินได้จริง แต่ไม่ใช่ผักที่นิยมนำมากินได้กินดีกินทุกวันเหมือนผักอื่นๆ ที่สำคัญความเฉพาะของผักนี้อยู่ที่กลิ่น มีกลิ่นหอมฉุนมาก เพราะมีน้ำมันหอมระเหย คนที่ไม่ชื่นชอบผักประเภทกลิ่นฉุนร้อนแรงก็ต้องเบือนหน้าหนี บ้างก็บอกว่าเหม็น

ผักแขยงจะมีกลิ่นแรง ซึ่งทำให้ผักนี้มีกลิ่นเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง และรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวและชูรสชาติ กลิ่นหอมฉุนนั้นมาจากน้ำมันหอมระเหยในผักซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการเจริญของเชื้อโรค จัดเป็นผักพื้นบ้านในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยในการต้านมะเร็ง ชาวอีสานและชาวเหนือกินผักแขยงกันมากในรูปของผักเหนาะจิ้มน้ำพริก ลาบ ลู่ แกงอ่อม ที่บ้านแม่จะใส่ในแกงหน่อไม้หรือแกงเปรอะ รสชาติอร่อยจริงๆ

เสน่ห์ของผักแขยงอยู่ที่การชูยอดอวดใบอ่อนและดอกสวยภายใต้ร่มเงาของกอข้าวสีเขียวในทุ่งนา จัดเป็นพืชล้มลุกปีเดียว พอฝนมากอข้าวเติบโต ผักแขยงก็เติบใหญ่ใบงามพอแก่ดอกสีม่วงสวยจับตาอวดความสวยอยู่กลางนา คนสมัยก่อนมักเก็บยอดอ่อนหรือต้นอ่อนมาตากแดดให้แห้งแล้วห่อใส่ถุงเก็บไว้กินนอกฤดูกาล ส่วนมากก็มักใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหาร แต่ปัจจุบันมีการปลูกขายทั่วประเทศและยังส่งออกไปขายแถวยุโรปด้วย ไม่ต้องรอหน้านาก็มีผักแขยงกินทั้งปี

นอกจากเป็นผักชูรสชูกลิ่นแล้ว ยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ ในตำรายาไทยกล่าวว่าผักแขยงรสเผ็ดร้อน หอมฉุน สรรพคุณขับน้ำนม ระบายท้อง แก้ไข้ ช่วยขับลม ช่วยเจริญอาหาร ประสะน้ำนม ฆ่าเชื้อโรค เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้า ใช้รักษาอาการไข้ จะนำต้นสดทั้งต้นล้างให้สะอาดมาต้มกินกับน้ำ ใช้ประมาณ 15-30 กรัม ดื่ม ถ้า ใช้รักษาอาการคัน กลาก ฝี จะใช้ต้นสดต้มกับน้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำทา และอีกวิธีหนึ่งคือตำพอกบริเวณที่มีอาการ

ใช้ แก้พิษงู นำต้นสดๆ ประมาณ 15 กรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับต้นฟ้าทะลายโจรสดเหมือนกันขนาด 30 กรัม แล้วเอาไปผสมกับน้ำส้มปริมาณพอควร คั้นแล้วดื่มน้ำ ส่วนกากนั้นเอาพอกรอบๆ แผลไม่ปิดทับปากแผล น้ำคั้นจากต้นยังเป็นยาขับลม ยาขับน้ำนม และเป็นยาระบาย ชาวอีสานมีข้อห้ามว่าหญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะจะเกิดอาการแสดงหรือผิดสำแดงได้

ประโยชน์อื่นๆ เกษตรกรนำไปใช้ในการไล่แมลง มีการวิจัยของผักแขยงเพื่อนำไปใช้ทางการเกษตร พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้มีกลิ่นคล้ายน้ำมันสน และสารสกัดด้วยไอน้ำสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มักพบการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารและนม เนื้อสัตว์และไข่ไก่ ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ

จากหนังสือผักพื้นบ้านอีสาน ของสำนักพิมพ์โป๊ยเซียน บันทึกว่าชาวอีสานชอบกินผักแขยงสดๆ กับน้ำพริกปลาร้า เวลาเก็บจะใช้มีดตัดให้เหลือแต่ส่วนโคนต้นที่อยู่ในดิน เพื่อให้มันแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ หมอยาพื้นบ้านแนะว่ากินผักแขยงป้องกันเส้นเลือดตีบตันและไข้ร้อนใน และกินแบบสดๆ นี้ยังช่วยดับกลิ่นตัวกลิ่นเหม็นเต่าได้ด้วย มีเรื่องเล่ากันว่าคนกินผักแขยงสดๆ ก่อนนอนผีพ่อม่ายหรือผีแม่ม่ายไม่กล้ามาเอาไปเป็นผัวเมีย (ป้องกันโรคใหลตาย อันเชื่อว่าผีแม่ม่ายมาเอาไปอยู่ด้วยได้ ซึ่งมักเกิดกับหนุ่มชาวอีสานเสียด้วย)

นอกชายคาสายฝนกำลังตกอย่างพร่างพรู ภายใต้ชายคาที่หลบฝนแว่วเสียงเพลง........
หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ
เขียดโม่ เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน.
หมู่หญ้าตีนกับแก ถูกฝนแลเขียวตระการ ควายทุยเสร็จจากงาน เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา
รุ่งแจ้งพอพุ่มพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา เร่งรุดไถฮุดนา รีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน.
อีสานบ้านของเฮา อาชีพเก่าแต่นานดล เอาหน้าสู้ฟ้าฝน เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา..

..ม่วน..เอ๊ย..โอ...ม่วนเอยม่วนเสียงกบ ร้องอ๊บๆ กล่อมลำเนา..
บทเพลง ที่กระตุ้นสำนึกให้รำลึกถึงบ้านหลังเขาบนที่ราบสูง พร้อมๆ กับได้กลิ่นของผักแขยงที่ลอยเอื้อยอ่อยมากับละอองฝนเย็นฉ่ำ

สีฟันคนทา สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อช่องปากและฟัน บ้านใครปลูกสีฟันคนทา คนทาไว้ลองนำมาทำยารักษาแผลในปากและยาสีฟันไว้ใช้กัน

ทำยารักษาแผลในปาก เอาเนื้อไม้คนทา 30 กรัม น้ำสะอาด 500 ซีซี นำไปต้มให้เดือดรอจนน้ำงวดจะได้น้ำยาเข้มข้น แล้วเติมสารส้มสะตุ 10 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากันจนละลาย ให้กรองเอาแต่น้ำยา พักไว้

วิธีผสมยารักษาแผลในปาก เอาน้ำสีฟันคนทาที่พักไว้ ผสมกับกลีเซอรีน อัตราส่วน น้ำยา 1 ช้อนชาต่อกลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน จะได้ยาแต้มรักษาแผลในปาก ใช้ได้บ่อยตามที่ต้องการจนแผลหาย

การทำยาสีฟัน ให้เตรียมผงโซเดียมคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ สารส้มสะตุ 1 1/2 ช้อนชา น้ำมันกานพลู 1 1/2 ช้อนชา ผงเปลือกหอย (แคลเซียม) 2 ช้อนชา นำทุกอย่างผสมกันคนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำต้มคนทา 1 ช้อนชา กลีเซอรีน 1 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จะได้เนื้อยาสีฟัน ใช้แปรงฟันทุกวันช่วยให้ฟันทนแข็งแรงไม่ปวดฟัน

ต้มส้มผักแขยง

ต้มส้มผักแขยง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารพื้นบ้านของภาคอีสาน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ก่อนผักแขยงคงหาทานได้เฉพาะทางภาคอีสาน แต่ทุกวันนี้ผักแขยงเป็นผักขึ้นห้าง ถ้าจะวัดว่าห้างไหนใหญ่จริงก็คงต้องดูว่าห้างนั้นมีผักแขยงขายหรือเปล่า 555 อันนี้ล้อเล่น แต่เดี๋ยวนี้ผักแขยงมีขายในห้างแล้วจริงๆ เป็นดัชนีผู้บริโภคบ่งชี้ได้ว่าเดี๋ยวนี้พี่น้องชาวอีสานได้ไปทำมาหากินต่างถิ่นต่างแดนมาก แต่คงไม่มีที่ไหนจะให้ความสุขเท่าบ้านเราเอง เข้าเมืองกรุงได้เงินง่ายได้ตังค์เยอะก็ไม่ค่อยเหลือเพราะทุกอย่างต้องซื้อต้องจ่าย ตรงกันข้ามที่บ้านกว่าจะได้เงินมันไม่ง่ายแต่แทบไม่มีรายจ่าย แล้วมันต่างกันตรงไหน เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนมีความสุขก็ทำกันต่อไป

ถ้าไปเที่ยวปาย แม่ฮ่องสอน คิดฮอดอยากกินอาหารอีสานบ้านเฮาอย่างต้มส้มผักแขยง ก็ไปทานกันได้ที่ร้านอาหารครัวระเบียงปายเด้อครับ ต้องขออภัยถ้าใช้สำเนียงผิดพลาดเพราะผมเป็นเด็กใต้อยู่สุราษฎร์ ฟังคำอีสานพอได้นิดหน่อย ส่วนพูดไม่ได้เลย แต่ถ้าให้พูดใต้ละก็ สบม.555 บ่อยครั้งเชฟสุรินทร์พูดภาษาปักษ์ใต้กับผม แต่แล้วก็ฟังผมไม่รู้เรื่องว่าผมพูดอะไร คงเป็นเพราะห่างใต้มานานมากและชินกับภาษาหลากหลายวัฒนธรรม หลากหลายอย่างไร เวลาไปทานที่ร้านครัวระเบียงปายถ้าเชฟว่างๆ ก็ลองเชิญมาคุยดู เชฟเป็นกันเองน่ารักมาก เอ๊ะเขียนไปชักเลอะอีกแล้ว เอาเป็นว่ากลับมาเข้าเรื่องทำ ต้มส้มผักแขยง กันดีกว่า

ส่วนประกอบและวิธีทำ ต้มส้มผักแขยง

1 ปลาคังหั่นเป็นท่อนประมาณ 2 ขีด 3 ชิ้น หรือปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ 6 ขีด ทำความสะอาดก่อนแล้วลวกด้วยน้ำเดือดจัด เพื่อล้างคาว
2 ตำเครื่องมี พริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ , กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ , เกลือ 1 ช้อนชา , ขมิ้นทุบ 1 แง่ง ทุกอย่างตำพอแหลก
3 น้ำซุป 4 ถ้วยตวงใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ใส่พริกแกงลงไป เดือดแล้วใส่ปลาลงไป รอน้ำเดือดใส่เครื่องปรุงมี หอมแดงหั่นลูกเต๋า 1 หัว , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ , ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ , ผักแขยง หั่นเป็นท่อน 1 ขีด , ต้นหอมตัดเป็นท่อน 3 ต้น ใบโหระพา 2-3 ช่อ รอซักครู่พอน้ำเดือดอีกครั้ง ปิดไฟยกลงจากเตา ชิมดูจะออก เปรี้ยวนำ เผ็ดตาม หวานและเค็มนิดหน่อย

เทคนิคการทำต้มส้มผักแขยง

1 การลวกปลาก่อนนำไปปรุงอาหารจริงเพื่อล้างกลิ่นคาวปลาออกไป และไม่ให้เนื้อปลาหดตัวมาก เวลาโดนความร้อนนานๆ
2 เทคนิคในการใส่เครื่องปรุงหรือผักลงในต้มส้มหรือแกงอื่นๆก็ตาม ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนที่จะใส่ขั้นตอนต่อไป 

ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน


รูปภาพ : ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน 

ความจริงที่ว่าผักดีต่อสุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด ข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย หรือกังวล สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ไว้หลีกเลี่ยงผักบางชนิดได้ทัน 
ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์
มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์
ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง 

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์
กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน 

อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ http://www.never-age.com

ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน 

ความจริงที่ว่าผักดีต่อสุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด ข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย หรือกังวล สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ไว้หลีกเลี่ยงผักบางชนิดได้ทัน
ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์
มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์
ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์
กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน

อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง


รูปภาพ : การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง

กินเผ็ดก็คือกินอาหารที่ใส่ พริกลงไปมากๆ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ตอบไว้ว่า ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขคือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการเจ็บปวด บรร เทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล 

ทั้งนี้จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิ ในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก 

ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริกยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน 

นอกจากนี้วิตามินซีในพริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว ยังใช้ทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดจะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริกไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารน่าจะมาจากการกิน อาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัดอาจทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นกรดจะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซินจะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด 

ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือไอศกรีม ซึ่งก็ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่างๆ ที่ใส่กะทิ

โทษจากการกินเผ็ด หรือภัยจากการกินเผ็ด รสเผ็ดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ 

และสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระวังไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไปเพราะอาจเกิดหัวใจวายได้ ยังมีโรคทางกระเพาะอาหาร เมื่อกินอาหารรสจัด (เผ็ด) เข้าไป จะเกิดกรดในกระเพาะ 

ถ้ากรดมากก็จะทำให้ท้องอืด แสบท้อง ปวดท้อง เวลาถ่ายก็แสบไปด้วย และมีโรคอ้วน เพราะรสเผ็ดช่วยให้เจริญอาหารดี ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังมีอาการแสบร้อน เพราะพริกมีสารแคปไซซินซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายของเรา ถ้าละอองพริกเข้าดวงตา หรือสัมผัสกับร่างกาย อาจทำให้แสบตา หรือแสบร้อนบริเวณที่โดนพริก 

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัดจะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร 

ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakk1TURVMU5nPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE15MHdOUzB5T1E9PQ==

การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง
กินเผ็ดก็คือกินอาหารที่ใส่ พริกลงไปมากๆ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ตอบไว้ว่า ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขคือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการเจ็บปวด บรร เทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล

ทั้งนี้จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิ ในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก

ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริกยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน

นอกจากนี้วิตามินซีในพริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว ยังใช้ทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดจะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริกไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารน่าจะมาจากการกิน อาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัดอาจทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นกรดจะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซินจะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด

ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือไอศกรีม ซึ่งก็ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่างๆ ที่ใส่กะทิ

โทษจากการกินเผ็ด หรือภัยจากการกินเผ็ด รสเผ็ดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

และสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระวังไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไปเพราะอาจเกิดหัวใจวายได้ ยังมีโรคทางกระเพาะอาหาร เมื่อกินอาหารรสจัด (เผ็ด) เข้าไป จะเกิดกรดในกระเพาะ

ถ้ากรดมากก็จะทำให้ท้องอืด แสบท้อง ปวดท้อง เวลาถ่ายก็แสบไปด้วย และมีโรคอ้วน เพราะรสเผ็ดช่วยให้เจริญอาหารดี ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังมีอาการแสบร้อน เพราะพริกมีสารแคปไซซินซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายของเรา ถ้าละอองพริกเข้าดวงตา หรือสัมผัสกับร่างกาย อาจทำให้แสบตา หรือแสบร้อนบริเวณที่โดนพริก

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัดจะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร

ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ


รูปภาพ : มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม  ตุ่มตัง  กะทันตาเถร (ปัตตานี)  มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)

ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย

มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น  

•เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้  

•ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี        

•ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี       

•ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก
 
การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย

น้ำมะตูม

ส่วนผสม
- มะตูมแห้ง 8 กรัม( 2ชิ้น )
- น้ำตาลทราย 15 กรัม( 1 ช้อนคาว )
- น้ำเปล่า 240 กรัม( 16 ช้อนคาง )

วิธีทำ

นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อเติมน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวสักครู่ ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลายชิมรสตามชอบ ยกลง

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา :  เป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดีและเจริญอาหาร ขับเสมหะแก้อาการร้อนในใด้ดี

http://herbal.muasua.com/tag/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B8%A1

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม ตุ่มตัง กะทันตาเถร (ปัตตานี) มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)

ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย

มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น

•เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้

•ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี

•ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี

•ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก

การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย

น้ำมะตูม

ส่วนผสม
- มะตูมแห้ง 8 กรัม( 2ชิ้น )
- น้ำตาลทราย 15 กรัม( 1 ช้อนคาว )
- น้ำเปล่า 240 กรัม( 16 ช้อนคาง )

วิธีทำ

นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อเติมน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวสักครู่ ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลายชิมรสตามชอบ ยกลง

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา : เป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดีและเจริญอาหาร ขับเสมหะแก้อาการร้อนในใด้ดี

5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน


รูปภาพ : 5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วร่างกายของเรานั้นสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อันเป็นที่มาของความอ้วนและโรคต่าง ๆ อย่างหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายได้ในที่สุด
แล้วรู้อีกไหมว่า อาหารบางประเภทนั้นธรรมชาติเขาสร้างมาเพื่อช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เรียกว่าเป็นอัศวินที่ธรรมชาติส่งมาช่วยมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น) ซึ่งพืชผักเหล่านี้มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน ไปทำความรู้จักกับอัศวินพิชิตอ้วนกันดีกว่าครับ

•มะเขือ
ในมะเขือทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ ล้วนมีสารอาหารที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่าง วิตามินพี หรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ดังนั้น การรับประทานมะเขือทั้งหลายเข้าไปจึงช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันและคอเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในแกงกะทิทั้งหลายจึงมักมีมะเขือเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย อย่างนี้แล้วเมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันมาก ๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเข้าไปด้วย เพราะนอกจากทำให้ไม่อ้วนแล้ว มะเขือยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันผนังเส้นเลือดแข็งตัว และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติอีกด้วยครับ

•ถั่วเหลือง
อัศวินคนที่สองผู้นี้อุดมไปด้วยโปรตีน เส้นใย วิตามินบี 1 บี 6 และบี 12 กรดโฟลิก คลอไรด์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมันไม่อิ่มตัว (ไขมันดีสำหรับร่างกาย) และที่สำคัญที่สุดคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานเมล็ดถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ฯลฯ รับรองว่าไม่อ้วน ทั้งยังชะลอความแก่และป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

•หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่นั้นเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดความอ้วน ทั้งนี้เพราะหอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่ช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันน้ำตาลในเลือด และบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ธาตุเดินไม่ปกติได้อีกด้วย ดังนั้นในเมนูไข่ทั้งหลายที่เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลจึงควรใส่หอมหัวใหญ่ลงไป แล้วถ้าใครไม่ชอบรับประทานหอมหัวใหญ่ เพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรง รสฝาด ขอแนะนำว่าให้ปรุงให้สุกเสียก่อน แล้วหอมหัวใหญ่จะมีรสหวานอร่อยมาก ทางที่ดีควรรับประทานหอมหัวใหญ่ให้ได้ทุกวัน วันละ 3 – 4 หัว โดยสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มหรือนึ่ง อาจเหยาะเกลือเพิ่มรสชาติเล็กน้อยก็ได้

•กระเทียม
แม้ว่าคุณสมบัติหลัก ๆ ของกระเทียมจะช่วยสร้างระบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือถ้าทานสด ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ด้วยก็ตาม แต่กระเทียมยังช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้อีกด้วย เพราะการรับประทานกระเทียมจะทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ดังนั้นในอาหารคาวจานต่าง ๆ จึงควรใส่กระเทียมสดเข้าไปด้วย รับรองว่าเห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่คุณสมบัติคับแก้วมากครับ

•แอปเปิล
ถ้าคุณหิวจนตาลายแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร แอปเปิลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ดี เพราะแอปเปิลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75% ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกินสิบนาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิดอ่อนเพลียระหว่างก่อนเวลารับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ นอกจากนี้ในแอปเปิลยังมีสารอาหารจำพวกวิตามินซี บี 6 ธาตุเหล็ก ทองแดง และโพแทสเซียม ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมานและควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

เมื่อรู้จักกับพืชผักพิชิตอ้วนทั้ง 5 ไปแล้ว เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงนั้นก็ควรรับประทานอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย โดยเลือกทานได้ตามความเหมาะสม เช่น ทานแอปเปิลก่อนรับประทานอาหารมื้อหลัก ใส่หอมหัวใหญ่ในไข่เจียว ใส่มะเขือทั้งหลายในแกงกะทิ มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบหลักในอาหาร คุณอาจรับประทานน้ำนมถั่วเหลืองทุกเช้าหรือเวลาหิว รับรองว่าถ้าทำได้เป็นนิสัยแล้วสุขภาพคุณจะแข็งแรงและไม่มีปัญหากับความอ้วนอีกเลยครับ

http://www.samunpri.com/?p=4605

5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วร่างกายของเรานั้นสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อันเป็นที่มาของความอ้วนและโรคต่าง ๆ อย่างหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายได้ในที่สุด
แล้วรู้อีกไหมว่า อาหารบางประเภทนั้นธรรมชาติเขาสร้างมาเพื่อช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เรียกว่าเป็นอัศวินที่ธรรมชาติส่งมาช่วยมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น) ซึ่งพืชผักเหล่านี้มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน ไปทำความรู้จักกับอัศวินพิชิตอ้วนกันดีกว่าครับ

•มะเขือ
ในมะเขือทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ ล้วนมีสารอาหารที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่าง วิตามินพี หรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ดังนั้น การรับประทานมะเขือทั้งหลายเข้าไปจึงช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันและคอเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในแกงกะทิทั้งหลายจึงมักมีมะเขือเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย อย่างนี้แล้วเมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันมาก ๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเข้าไปด้วย เพราะนอกจากทำให้ไม่อ้วนแล้ว มะเขือยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันผนังเส้นเลือดแข็งตัว และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติอีกด้วยครับ

•ถั่วเหลือง
อัศวินคนที่สองผู้นี้อุดมไปด้วยโปรตีน เส้นใย วิตามินบี 1 บี 6 และบี 12 กรดโฟลิก คลอไรด์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมันไม่อิ่มตัว (ไขมันดีสำหรับร่างกาย) และที่สำคัญที่สุดคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานเมล็ดถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ฯลฯ รับรองว่าไม่อ้วน ทั้งยังชะลอความแก่และป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

•หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่นั้นเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดความอ้วน ทั้งนี้เพราะหอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่ช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันน้ำตาลในเลือด และบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ธาตุเดินไม่ปกติได้อีกด้วย ดังนั้นในเมนูไข่ทั้งหลายที่เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลจึงควรใส่หอมหัวใหญ่ลงไป แล้วถ้าใครไม่ชอบรับประทานหอมหัวใหญ่ เพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรง รสฝาด ขอแนะนำว่าให้ปรุงให้สุกเสียก่อน แล้วหอมหัวใหญ่จะมีรสหวานอร่อยมาก ทางที่ดีควรรับประทานหอมหัวใหญ่ให้ได้ทุกวัน วันละ 3 – 4 หัว โดยสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มหรือนึ่ง อาจเหยาะเกลือเพิ่มรสชาติเล็กน้อยก็ได้

•กระเทียม
แม้ว่าคุณสมบัติหลัก ๆ ของกระเทียมจะช่วยสร้างระบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือถ้าทานสด ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ด้วยก็ตาม แต่กระเทียมยังช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้อีกด้วย เพราะการรับประทานกระเทียมจะทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ดังนั้นในอาหารคาวจานต่าง ๆ จึงควรใส่กระเทียมสดเข้าไปด้วย รับรองว่าเห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่คุณสมบัติคับแก้วมากครับ

•แอปเปิล
ถ้าคุณหิวจนตาลายแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร แอปเปิลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ดี เพราะแอปเปิลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75% ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกินสิบนาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิดอ่อนเพลียระหว่างก่อนเวลารับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ นอกจากนี้ในแอปเปิลยังมีสารอาหารจำพวกวิตามินซี บี 6 ธาตุเหล็ก ทองแดง และโพแทสเซียม ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมานและควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

เมื่อรู้จักกับพืชผักพิชิตอ้วนทั้ง 5 ไปแล้ว เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงนั้นก็ควรรับประทานอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย โดยเลือกทานได้ตามความเหมาะสม เช่น ทานแอปเปิลก่อนรับประทานอาหารมื้อหลัก ใส่หอมหัวใหญ่ในไข่เจียว ใส่มะเขือทั้งหลายในแกงกะทิ มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบหลักในอาหาร คุณอาจรับประทานน้ำนมถั่วเหลืองทุกเช้าหรือเวลาหิว รับรองว่าถ้าทำได้เป็นนิสัยแล้วสุขภาพคุณจะแข็งแรงและไม่มีปัญหากับความอ้วนอีกเลยครับ

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ?


รูปภาพ : วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ? 

ด้วยวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายต่างมีข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูป มากักตุนไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทีก็ขนซื้อมายกใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่า หมดอายุไปก่อนที่จะทานได้หมด

เป็นเช่นนี้หลายคนที่มักนำอาหารพวกนี้แช่ตู้เย็นไว้ คงเคยสงสัยว่า อาหารที่พ้นวันหมดอายุไปแล้ว แต่กลิ่น รส รูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นนั้น จะยังทานได้หรือไม่ เพราะจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย เช่น ไส้กรอก ขนมปัง...ถ้าต้องการรู้คำตอบ วันนี้ผู้เขียนมีมาบอก แต่ก่อนอื่นขอเล่าสิ่งที่ควรเข้าใจ อย่างเรื่องวันหมดอายุของอาหารกันก่อน

สำหรับการกำหนดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ อย่างที่เราคุ้นตากัน ก็เช่น EXP….(วันหมดอายุ), BBE…(ควรบริโภคก่อน) นั้น ในทางหลักกฏหมายสากล โรงงานผู้ผลิตอาหารจำเป็นจะต้องทำการทดลองจัดเก็บผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตามคำแนะนำสภาพการจัดเก็บที่ได้ระบุไว้บนฉลากตามจริง เช่น เก็บที่อุณหภูมิห้อง, ควรจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศา, หรือจัดเก็บไว้ในสภาวะแช่แข็ง ฯลฯ และในระหว่างการทดลองโรงงานจำเป็นจะต้องสุ่มทำการตรวจเช็ค ทั้งทางด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นระยะๆ จนครบอายุการจัดเก็บที่ได้อ้างไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้านั้นๆ จะยังคงมีคุณภาพและความปลอดภัยจนถึงวันที่หมดอายุลง

ทว่ามีตัวแปรที่สำคัญมาก คอยจะส่งผลให้อาหารเสื่อมเสีย ก็คือ ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหารแต่ละชนิด แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเก็บไว้ตามสภาวะที่ระบุไว้บนฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะสามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันหมดอายุ แต่จากประสบการณ์การตรวจโรงงานผลิตอาหารหลายร้อยแห่ง พบว่า ผู้ผลิตบางรายเคยเจอปัญหาร้องเรียน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสื่อมหรือเสียก่อนวันหมดอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารที่ต้องแช่เย็น หรือแช่แข็ง ทั้งๆ ที่กระบวนการผลิตและการจัดเก็บก็ถูกต้องตามหลักการผลิตที่ดี สาเหตุที่ทำให้เสียเร็วกว่ากำหนด ส่วนใหญ่มักมาจากการขนส่ง และร้านค้าปลีกที่นำไปขายหน้าร้านดูแลจัดเก็บไม่ดี เก็บในอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้

เหตุนี้เอง ที่จะบอกผู้อ่านว่า อาหารประเภทแช่เย็น และแช่แข็งนั้น อุณหภูมิการจัดเก็บมีผลโดยตรงต่อการเจริญและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์จนส่งผลให้อาหารนั้นเสื่อมเสียเร็วกว่าวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้บนฉลาก ในทางกลับกันหากเรานำอาหารแช่เย็นมาแช่แข็งแน่นอนคะว่า อาหารนั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวกว่าที่ได้ระบุไว้บนฉลากเป็นแน่ เพราะอุณหภูมิแช่แข็งจะสามารถชะลอการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของจุลินทรีย์ได้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จาก อาหารแช่แข็งมักมีอายุเป็นปีๆ ส่วนอาหารแช่เย็นมีอายุแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่เมื่อเรานำอาหารแช่เย็นมาเก็บรักษาโดยการแช่แข็งแล้ว เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าแล้วจะหมดอายุอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่ทำการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์

แต่เพื่อความปลอดภัย ยังจำเป็นที่จะต้องสังเกตอาหารหลังละลายน้ำแข็ง ก่อนนำมาปรุงหรือรับประทาน สิ่งที่ต้องสังเกต มีทั้ง

1. ก๊าซในอาหาร : หากอาหารถูกจัดเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด แล้วถุงกลับพองขึ้น นั้นหมายถึง จุลินทรีย์กำลังทานอาหารชนิดนั้น และปลดปล่อยก๊าซออกมา ยิ่งถ้าถุงบวมเป่งแล้ว หรืออาหารกระป๋องที่บวมกว่าปกติแล้ว ไม่ควรเสี่ยงทานเลย

2. กลิ่นของอาหาร : ให้ใช้วิธีดมกลิ่นก่อนที่จะทาน หากกลิ่นผิดเพี้ยนหรือแปลกไปจากกลิ่นปกติ ให้สงสัยว่า อาหารกำลังจะเสื่อมเสีย

3. เมือกตามผิวของอาหาร หรือลักษณะเป็นวุ้นๆ สำหรับอาหารเหลว : ธรรมชาติของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียมักสร้างเมือกขึ้นมาในระหว่างการเจริญ ดังนั้นจะสังเกตว่า อาหารเริ่มเสื่อมเสีย มักมีเมือกลื่นๆเคลือบอยู่ที่ผิวของอาหาร หรือ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นของเหลว ก็ให้สังเกตเนื้อของเหลวนั้นว่ามีการข้นเป็นวุ้นปะปนหรือไม่

4. สี รสชาติ และลักษณะทางกายภาพ : สีของอาหารก็มีส่วนสำคัญ หากสีเปลี่ยนหรือแตกต่างไป รวมถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่เป็นชิ้นๆ ให้สังเกตรา หรือลักษณะแปลกปลอมที่มีในอาหาร หากผิดปกติแนะนำว่าทิ้งดีกว่า

เห็นไหมว่า บางทีวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ตายตัวเสมอไป หากแต่ยังมีปัจจัยในเรื่องการขนส่งและจัดเก็บ โดยเฉพาะอาหารแช่เย็นหรือแช่แข็ง หากซื้อมาแล้วควรรีบนำมาจัดเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลาให้อยู่ในอุณหภูมิปกตินานเท่าใด นั่นแสดงว่า เรากำลังทำให้จุลินทรีย์ที่มีในอาหารนั้นเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ดีเลย

สุดท้าย ผู้เขียนขอฝากไว้อีกสักนิด สำหรับเรื่องวัตถุกันเสียในอาหาร หรือสารกันบูด หากผลิตภัณฑ์อาหารใส่สารดังกล่าวมากเกินไป บางทีผ่านวันหมดอายุแล้ว แต่อาหารนั้นก็ยังไม่แสดงถึงสภาพการเสื่อมเสียใดๆ เพราะวัตถุกันเสียมีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ในอาหาร และวัตถุกันเสียเหล่านี้ยังเป็นอันตรายทางเคมีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้  ทางที่ดีเราควรเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไหนใช้วัตถุกันเสียก็เลี่ยงๆ แล้วกันนะ

http://raja.thaikm4u.com/blog/likesara/1015

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ? 
ด้วยวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายต่างมีข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูป มากักตุนไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทีก็ขนซื้อมายกใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่า หมดอายุไปก่อนที่จะทานได้หมด

เป็นเช่นนี้หลายคนที่มักนำอาหารพวกนี้แช่ตู้เย็นไว้ คงเคยสงสัยว่า อาหารที่พ้นวันหมดอายุไปแล้ว แต่กลิ่น รส รูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นนั้น จะยังทานได้หรือไม่ เพราะจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย เช่น ไส้กรอก ขนมปัง...ถ้าต้องการรู้คำตอบ วันนี้ผู้เขียนมีมาบอก แต่ก่อนอื่นขอเล่าสิ่งที่ควรเข้าใจ อย่างเรื่องวันหมดอายุของอาหารกันก่อน

สำหรับการกำหนดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ อย่างที่เราคุ้นตากัน ก็เช่น EXP….(วันหมดอายุ), BBE…(ควรบริโภคก่อน) นั้น ในทางหลักกฏหมายสากล โรงงานผู้ผลิตอาหารจำเป็นจะต้องทำการทดลองจัดเก็บผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตามคำแนะนำสภาพการจัดเก็บที่ได้ระบุไว้บนฉลากตามจริง เช่น เก็บที่อุณหภูมิห้อง, ควรจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศา, หรือจัดเก็บไว้ในสภาวะแช่แข็ง ฯลฯ และในระหว่างการทดลองโรงงานจำเป็นจะต้องสุ่มทำการตรวจเช็ค ทั้งทางด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นระยะๆ จนครบอายุการจัดเก็บที่ได้อ้างไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้านั้นๆ จะยังคงมีคุณภาพและความปลอดภัยจนถึงวันที่หมดอายุลง

ทว่ามีตัวแปรที่สำคัญมาก คอยจะส่งผลให้อาหารเสื่อมเสีย ก็คือ ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหารแต่ละชนิด แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเก็บไว้ตามสภาวะที่ระบุไว้บนฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะสามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันหมดอายุ แต่จากประสบการณ์การตรวจโรงงานผลิตอาหารหลายร้อยแห่ง พบว่า ผู้ผลิตบางรายเคยเจอปัญหาร้องเรียน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสื่อมหรือเสียก่อนวันหมดอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารที่ต้องแช่เย็น หรือแช่แข็ง ทั้งๆ ที่กระบวนการผลิตและการจัดเก็บก็ถูกต้องตามหลักการผลิตที่ดี สาเหตุที่ทำให้เสียเร็วกว่ากำหนด ส่วนใหญ่มักมาจากการขนส่ง และร้านค้าปลีกที่นำไปขายหน้าร้านดูแลจัดเก็บไม่ดี เก็บในอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้

เหตุนี้เอง ที่จะบอกผู้อ่านว่า อาหารประเภทแช่เย็น และแช่แข็งนั้น อุณหภูมิการจัดเก็บมีผลโดยตรงต่อการเจริญและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์จนส่งผลให้อาหารนั้นเสื่อมเสียเร็วกว่าวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้บนฉลาก ในทางกลับกันหากเรานำอาหารแช่เย็นมาแช่แข็งแน่นอนคะว่า อาหารนั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวกว่าที่ได้ระบุไว้บนฉลากเป็นแน่ เพราะอุณหภูมิแช่แข็งจะสามารถชะลอการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของจุลินทรีย์ได้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จาก อาหารแช่แข็งมักมีอายุเป็นปีๆ ส่วนอาหารแช่เย็นมีอายุแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่เมื่อเรานำอาหารแช่เย็นมาเก็บรักษาโดยการแช่แข็งแล้ว เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าแล้วจะหมดอายุอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่ทำการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์

แต่เพื่อความปลอดภัย ยังจำเป็นที่จะต้องสังเกตอาหารหลังละลายน้ำแข็ง ก่อนนำมาปรุงหรือรับประทาน สิ่งที่ต้องสังเกต มีทั้ง

1. ก๊าซในอาหาร : หากอาหารถูกจัดเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด แล้วถุงกลับพองขึ้น นั้นหมายถึง จุลินทรีย์กำลังทานอาหารชนิดนั้น และปลดปล่อยก๊าซออกมา ยิ่งถ้าถุงบวมเป่งแล้ว หรืออาหารกระป๋องที่บวมกว่าปกติแล้ว ไม่ควรเสี่ยงทานเลย

2. กลิ่นของอาหาร : ให้ใช้วิธีดมกลิ่นก่อนที่จะทาน หากกลิ่นผิดเพี้ยนหรือแปลกไปจากกลิ่นปกติ ให้สงสัยว่า อาหารกำลังจะเสื่อมเสีย

3. เมือกตามผิวของอาหาร หรือลักษณะเป็นวุ้นๆ สำหรับอาหารเหลว : ธรรมชาติของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียมักสร้างเมือกขึ้นมาในระหว่างการเจริญ ดังนั้นจะสังเกตว่า อาหารเริ่มเสื่อมเสีย มักมีเมือกลื่นๆเคลือบอยู่ที่ผิวของอาหาร หรือ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นของเหลว ก็ให้สังเกตเนื้อของเหลวนั้นว่ามีการข้นเป็นวุ้นปะปนหรือไม่

4. สี รสชาติ และลักษณะทางกายภาพ : สีของอาหารก็มีส่วนสำคัญ หากสีเปลี่ยนหรือแตกต่างไป รวมถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่เป็นชิ้นๆ ให้สังเกตรา หรือลักษณะแปลกปลอมที่มีในอาหาร หากผิดปกติแนะนำว่าทิ้งดีกว่า

เห็นไหมว่า บางทีวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ตายตัวเสมอไป หากแต่ยังมีปัจจัยในเรื่องการขนส่งและจัดเก็บ โดยเฉพาะอาหารแช่เย็นหรือแช่แข็ง หากซื้อมาแล้วควรรีบนำมาจัดเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลาให้อยู่ในอุณหภูมิปกตินานเท่าใด นั่นแสดงว่า เรากำลังทำให้จุลินทรีย์ที่มีในอาหารนั้นเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ดีเลย

สุดท้าย ผู้เขียนขอฝากไว้อีกสักนิด สำหรับเรื่องวัตถุกันเสียในอาหาร หรือสารกันบูด หากผลิตภัณฑ์อาหารใส่สารดังกล่าวมากเกินไป บางทีผ่านวันหมดอายุแล้ว แต่อาหารนั้นก็ยังไม่แสดงถึงสภาพการเสื่อมเสียใดๆ เพราะวัตถุกันเสียมีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ในอาหาร และวัตถุกันเสียเหล่านี้ยังเป็นอันตรายทางเคมีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้ ทางที่ดีเราควรเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไหนใช้วัตถุกันเสียก็เลี่ยงๆ แล้วกันนะ