Social Icons

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพจิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพจิต แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สงบใจสบายใจด้วยการปฏิบัติธรรม




คนส่วนใหญ่คิดว่าการกินเจเป็นเพียงแค่การเลิกเบียดเบียนสัตว์และหันมารับประทานพืชผักสีเขียว แต่สาระการกินเจที่ถูกต้อง คือการชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นช่วงเทศกาลกินเจครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เราได้เขยิบเข้าใกล้แก่นธรรม แสวงหาความสงบเรียบบง่ายให้จิตใจได้พักอย่างเต็มที่ และหากได้ลองปฏิบัติคุณอาจจะติดใจในความหอมหวานของรสธรรมจนถอนตัวไม่ขึ้นก็ได้

วันนี้เราได้รวบรวมสถานปฏิบัติธรรมที่น่าสนใจมาแนะนำกัน หากใครอยากจะลองสัมผัสกับความสงบก็ลองเลือกสถานที่ที่แนะนำนี้ ซึ่งจะมีแนวทางการปฏิบัติธรรมตามแนวคิดที่แตกต่างกัน แล้วหาวันหยุดไปปฏิบัติธรรมกันดูสักครั้ง

สถานปฏิบัติธรรมในกรุงเทพและใกล้กรุงเทพ ได้แก่

  • สายวัดป่ากรรมฐานภาคอีสาน หรือสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีที่ วัดปทุมวนาราม แถวสยาม เป็นวัดป่ากลางเมือง เน้นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สวนแสงธรรม แถวพุทธมณฑล สาย 4 เป็นที่ที่หลวงตา มหาบัวจะมาแสดงธรรมเป็นประจำ
  • สายสติปัฏฐานสี่ คือ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ อินทรวิหาร บางขุนพรหม และ ยุวพุทธิกสมาคม บางแค
  • สายท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ เน้นทั้งปริยัติและปฏิบัติ ในแถบใกล้กรุงเทพนั้น มีที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี วัดสวนแก้ว นนทบุรี ที่พระพยอม กัลยาโณ เป็นเจ้าอาวาส
สถานปฏิบัติธรรมในต่างจังหวัด ได้แก่
  • สวนโมขพลาราม หรือวัดธารน้ำไหล จ.สุราษฎร์ธานี เป็นวัดป่าที่สงบร่มรื่น ปฏิบัติในสายท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
  • วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี วัดของหลวงพ่อชา สุภัทโท สายวัดป่าวิปัสสนากรรมฐานแบบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
  • วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เป็นวัดของหลวงตามหาบัว เป็นวัดป่าที่สงบร่มรื่นเช่นกัน
  • วัดป่าสุนันทาราม จ.กาญจนบุรี มีพระอาจารย์มิสซูโอะ เป็นเจ้าอาวาส
  • วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี มีหลวงพ่อจรัญ เป็นเจ้าอาวาส ที่มีอบรมปฏิบัติธรรมแบบสติปัฏฐานสี่ ทุกวันศุกร์ตอนเย็น
บอกลาชั่วคราวกับโรงหนัง ห้างสรรพสินค้า คาราโอเกะ แล้วจูงลูกชวนหลาน ควงแขนแฟน เพื่อนรัก หรือครอบครัวไปปฏิบัติธรรมกันช่วงเทศกาลกินเจนี้กันเถอะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5 นาที ปล่อยวางความเครียดในที่ทำงาน




ในช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายกับการทำงาน คุณรู้ไหมว่าบรรยากาศเดิมๆ หรือสถานการณ์ซ้ำซากจำเจในแต่ละวันของการทำงานนั้นจะเพิ่มความเครียดในการทำงานให้เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ลองหาเวลาสัก 5 นาที เพื่อละทิ้งความเครียดเหล่านั้น แล้วหันมาผ่อนคลายตัวเองกับเคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาฝากกัน รับรองว่าคุณจะได้ชาร์ตแบตเตอรี่เติมพลังให้พร้อมกลับไปลุยงานต่อได้อย่างมีความสุข

  • วางมือจากงานที่กองอยู่ตรงหน้า นั่งปล่อยตัวพักผ่อนตามสบายๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
  • สร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น อาจจะวางขวดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ไว้บริเวณโต๊ะทำงาน ซึ่งมีผลการวิจัยพบว่ากลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยลดความตึงเครียด อาการปวดหัว อาการวิตกกังวล หรืออาการอ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี (แนะนำให้ปรึกษาโต๊ะทำงานข้างเคียงว่าชอบกลิ่นน้ำหอมนี้ด้วยหรือเปล่า ? ก็จะดีนะ)
  • ถอดรองเท้าออกให้เหลือเท้าอันเปลือยเปล่า แล้วเดินเท้าเปล่าไปรอบๆ โต๊ะทำงาน จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหาลูกบอลเล็กๆ ขนาดเท่าลูกกอล์ฟมาวางใต้เท้า คลึงเท้าไปมาบนลูกบอลนั้น เป็นการนวดเท้าเพื่อคลายเครียดได้เป็นอย่างดี
  • ลุกไปชงเครื่องดื่มร้อนๆ สักแก้ว หลังจากจิบเครื่องดื่มแล้วให้เอนกายพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าลึกๆ สัก 1-2 นาที
เคล็ดลับง่ายๆ ที่ใช้เวลาเพียง 5 นาที แต่ช่วยคลายเครียดได้แม้จะอยู่ในที่ทำงาน แถมยังจะช่วยเพิ่มพลังให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้ดียิ่งขึ้นอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ

คุณรู้ไหมว่า มีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล แคนาดา พบว่าความสูงของฉากกั้นในที่ทำงานที่เหมาะสมที่สุดคือ 1.3 เมตร เพราะสูงพอที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัว และต่ำพอที่จะไม่ทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยว และงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียบอกว่า 1 ใน 4 ของวันทำงานจะหมดไปกับการถูกขัดจังหวะโดยอีเมลล์ โทรศัพท์ และข้อความสั้นๆ ซึ่งทำให้คุณต้องละสายตาจากงานทุก 3 นาที และทำให้ระดับความเครียดของคุณเพิ่มสูงขึ้นด้วย

ฝึกสติในชีวิตประจำวัน




หลายคนมีความสนใจเรื่องการฝึกสติ แต่มักจะคิดว่าทำได้ยากในชีวิตประจำวัน ซึ่งความจริงแล้วการฝึกสตินั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินกว่าจะทำได้เลย แต่เพราะชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบันบีบให้คนใฝ่หาแต่วัตถุ จนลืมที่จะดูแลจิตใจให้กลับมามีสติอยู่กับปัจจุบัน 
    
มีแนวคิดที่น่าสนใจในการฝึกสติของพระอาจารย์ชาวเวียดนาม ติช นัท ฮันห์ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก คำสอนบางส่วนของท่านสามารถประยุกต์มาใช้ให้เหมาะกับชีวิตการทำงานและส่วนตัว โดยเฉพาะการฝึกสติในชีวิตประจำวัน
    
วิธีที่พระอาจารย์สอนให้คนทุกเพศทุกวัยฝึกสติ คือ “การภาวนากับก้อนกรวด” เป็นวิธีการง่ายๆ ที่มีความสุข เริ่มจากมีถุงเล็กๆ สำหรับเก็บก้อนกรวด 4 ก้อน เมื่อต้องการทำสมาธิภาวนาให้หยิบถุงนี้ขึ้นมา เมื่อเริ่มภาวนาก็หยิบก้อนกรวดก้อนแรกขึ้นมาประสานไว้บนมือ ให้ก้อนกรวดก้อนนี้เป็นตัวแทนของ “ดอกไม้” หายใจเข้า ฉันเป็นดั่งดอกไม้ หายใจออก ฉันสดชื่น การภาวนาเช่นนี้เป็นการฟื้นฟูความสดชื่น แจ่มใส เหมือนดอกไม้ในตัวเราได้เบ่งบานอีกครั้ง 
    
หลังจากภาวนาก้อนกรวดก้อนแรกเสร็จก็วางก้อนกรวดนี้ลงแล้วหยิบก้อนกรวดก้อนที่สองขึ้นมา โดยให้เป็นตัวแทนของ “ภูเขา” คือความมั่นคงในตัวเรา หายใจเข้า ฉันเป็นดั่งขุนเขา หายใจออก ฉันมั่นคง เพราะถ้าหากเราปราศจากความมั่นคงหนักแน่นแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะมีความสุขได้ เมื่อเราเป็นคนอ่อนไหวเราก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ใครได้รวมถึงตัวเราเองด้วย ฉะนั้นการภาวนาในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก 
    
ก้อนกรวดก้อนที่สามคือตัวแทนของ “น้ำใส” เราจะภาวนาว่า หายใจเข้า ฉันเป็นดั่งน้ำใส หายใจออก ฉันสะท้อนสิ่งต่างๆ ดั่งที่มันเป็น เมื่อเราโกรธ อิจฉา หรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่รุนแรง เราไม่สามารถที่จะมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เราอาจมีความคิดเห็นที่ผิดและมีอคติต่อสิ่งนั้น การภาวนาเช่นนี้ช่วยบ่มเพาะความนิ่ง ใส ชัดเจน ไม่บิดเบือน ให้แก่ตัวเรา 
    
ก้อนกรวดก้อนสุดท้ายเป็นตัวแทนของ “ความว่าง” หายใจเข้า ฉันเป็นดั่งความว่าง หายใจออก ฉันเป็นอิสระ ความว่างในที่นี้ หมายถึง พื้นที่ว่างในหัวใจและพื้นที่ว่างรายล้อมเรา เมื่อเรารู้สึกเป็นอิสระ เราจะมีพื้นที่มากมายแบ่งปันผู้อื่น เราจะพร้อมที่จะให้พื้นที่กับผู้อื่นโดยเฉพาะบุคคลที่เรารัก หลายครั้งความรักของเรามักเป็นกรงขัง ฉะนั้นเมื่อเรารักใครสักคนเราต้องคอยดูอยู่เสมอว่าเราได้ให้ที่ว่างแก่เขามากพอหรือไม่ อย่าทำให้ความรักของเรากลายเป็นกรงขัง 
    
พระอาจารย์นัท ฮันห์ ยังมีคำแนะนำให้ฝึกปฏิบัติ เพื่อเป็นการดูแลจิตใต้สำนึก คือ

  1. บริโภคอย่างมีสติ   
  2. สร้างพลังแห่งสติให้เข้มแข็ง ด้วยการอุทิศเวลาให้กับการฝึกปฏิบัติ เช่น กินอาหารอย่างมีสติ เดินอย่างมีสติ เป็นต้น
  3. ไม่เก็บกดอารมณ์ของเรา
  4. อนุญาตให้อารมณ์ของเราขึ้นมา พร้อมโอบรับด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งสติ
  5. รดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ดีๆ เช่น การฟังบรรยายธรรม บริโภคและสัมผัสสิ่งที่ดีงาม
การฝึกสติด้วยการภาวนาเป็นประจำทุกวัน หรือทุกครั้งที่มีโอกาสจะช่วยฟื้นฟูจิตใจให้เติบโต เข้มแข็ง พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ และมีความสุขได้กับชีวิตปัจจุบัน

ซึมเศร้า...เราแก้ได้




การคิดและกังวลมากจนทำให้รู้สึกเครียด เบื่อและเซ็ง ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาการแบบนี้ถ้าเป็นหนักขึ้นทุกวัน ก็อาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้

โรคซึมเศร้าเป็นการเจ็บป่วยทางจิตใจที่พบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัย ทุกอายุและอาชีพ ทุกเชื้อชาติ ประมาณกันว่า 1 ใน 20 คนมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า โดยจะมีความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ เศร้าหมอง เบื่อหน่าย หรือหงุดหงิดฉุนเฉียว ใจลอย ไม่มีสมาธิ หลงๆ ลืมๆ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เงียบซึมไม่อยากพูดคุยหรือพบปะกับใคร และอาจมีอาการอื่นๆ ทางร่างกาย เช่น ปวดมึนศีรษะ จุกเสียดแน่นท้อง ใจสั่น ความดันโลหิตสูง เป็นต้น 

โรคซึมเศร้ามีผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวมาก เพราะบางคนอาจรู้สึกหมดหวังถึงขั้นหลงผิดชั่ววูบและคิดฆ่าตัวตายได้ เพราะส่วนใหญ่โรคซึมเศร้ามักเกิดจากความผิดหวัง หรือการสูญเสียอย่างหนัก ความกดดันด้านสังคม การเรียน การงานหรือการเงิน สภาพชีวิตที่โดดเดี่ยวว้าเหว่ ขาดความรักความอบอุ่น เป็นต้น 

โรคซึมเศร้าไม่ได้เกิดจากสภาพจิตใจที่เปราะบาง อ่อนแออย่างที่เข้าใจกัน จากการวิจัยมาตลอด 20 ปีนี้พบว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลทางเคมีของสารสื่อประสาท 3 ชนิดในสมอง คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน จึงมีผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าของคน 

การทดสอบว่าคุณมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ ให้สังเกตตัวเองว่า ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณมีความรู้สึกแบบนี้ไหม...

  • รู้สึกกลุ้มใจ ซึมเศร้า ทุกๆ วัน หรือทั้งวัน หรือไม่
  • รู้สึกเบื่อทุกๆ สิ่งหรือไม่
  • เบื่ออาหารหรือไม่
  • มีปัญหาในการนอนหลับหรือไม่
  • รู้สึกกระวนกระวาย (หรือซึมๆ เนือยๆ) หรือไม่
  • รู้สึกเพลีย เหนื่อยง่าย หรือไม่
  • รู้สึกผิด ไร้ค่า ไร้ความสามารถ หรือไม่
  • รู้สึกใจลอย ไม่มีสมาธิ หรือไม่
  • รู้สึกเบื่อชีวิต คิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่
ถ้าคุณมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มานานกว่า 2 สัปดาห์ และมีอาการต่อไปนี้อีกอย่างน้อย 4 ข้อ คุณอาจเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้า
  • เบื่ออาหาร ผอมลง
  • นอนไม่หลับ
  • กระวนกระวาย หรือซึมๆ เนือยๆ
  • อ่อนเพลียง่าย
  • รู้สึกผิด ไร้ค่า
  • ขาดสมาธิ
  • คิดอยากตาย
คนที่พบว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า และมีอาการไม่รุนแรง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง สิ่งสำคัญคือการปรับความคิดและการทำใจให้สงบ ซึ่งจะดีมากหากนำหลักของธรรมะมาใช้ดังเช่นคำพระท่านว่า ทุกข์สุขของคนเราอยู่ที่ใจ ความสุขของคนเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่ได้หรือสิ่งที่มี แต่อยู่ที่ความคิด ถ้าคิดในสิ่งที่ดีเรื่องดีๆ จิตใจก็สบาย มีแต่ความสุขใจ ถ้าคิดเรื่องร้ายๆ จิตใจก็เศร้าหมอง

คลายเครียดด้วยนิตติ้ง




ยุคนี้มีงานอดิเรกมากมายที่น่าสนใจ ซึ่งหนึ่งในงานอดิเรกที่คนรุ่นใหม่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ก็คือ การถักไหมพรม ที่ปัจจุบันไม่ใช่งานฝีมือเชยๆ ของคุณย่าคุณยายอีกต่อไป เพราะได้กลายเป็นงานฝีมือที่ทำให้คนทำได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ แถมยังได้คลายเครียดอีกด้วย 

ร้าน Big Knit Café ในซอยสุขุมวิท 49 แห่งนี้ ได้กลายมาเป็นชมรมเฉพาะกิจของคนรักไหมพรมและการถัก โดยคุณไนส์ ตันศรีสกุล เจ้าของร้านผู้หลงใหลในงานนิตติ้งบอกว่า การถักนิตติ้งนั้นให้อะไรมากกว่าที่เราเห็น

“การถักนิตติ้งก็เหมือนกับการได้ทำสมาธิอย่างหนึ่ง เพราะเวลาที่เราได้ทำอะไรซ้ำๆ กันไปเรื่อยๆ เราก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนี้ ทำให้เราลืมเรื่องเครียดได้โดยไม่รู้ตัว”
 

คุณไนส์บอกว่า การที่คนมาฮิตถักนิตติ้งกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเทรนด์ที่ดาราฮอลลีวูดหลายคนชอบถักกัน เลยเป็นกระแสเข้ามาฮิตที่เมืองไทย แล้วปัจจุบันมีไหมสวยๆ เก๋ๆ มากมาย ทำให้งานที่ออกมาดูทันสมัย ไม่เชย กลายเป็นงานแฟชั่นและเป็นงานศิลปะมากขึ้น 

คุณไน้ส์เองก็เป็นคนหนึ่งที่กลับมาคลั่งไคล้การถักนิตติ้งหลังจากเลิกถักไปเมื่อตอนเด็ก โดยมีแรงบันดาลใจจากการได้เดินทางไปต่างประเทศและได้เห็นงานถักสวยๆ ไหมแปลกๆ เก๋ๆ ในต่างประเทศ ทำให้รู้ว่าการถักนิตติ้งนั้นมีความก้าวหน้าไปมาก และเกิดไอเดียต่อยอดมาทำธุรกิจทางด้านนี้ 

"ปกติตัวเองจะสมาธิสั้น พอได้มาถักนิตติ้งก็รู้สึกว่ามีสมาธิได้นานขึ้น แต่เคยมีเคสของลูกค้าเล่าให้ฟังว่า ชีวิตเขาเปลี่ยนจากคนที่เคยหงุดหงิดง่ายจนลูกน้องไม่กล้าเข้าหา เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนใจเย็นขึ้น หรืออย่างบางคนเป็นโรคซึมเศร้า เขาก็มาถัก ซึ่งตอนแรกเขาไม่ได้เล่าว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า แต่ตอนหลังเมื่อเขาหายแล้วจึงเล่าให้ฟัง เราจึงได้รู้ว่า การถักนิตติ้งก็มีส่วนช่วยให้เขาผ่อนคลายจากความเศร้า ความเครียด หรืออย่างมีคุณยายท่านหนึ่งจะมาที่ร้าน ก็บอกว่าได้มานั่งที่นี่ทำให้ได้เจอผู้คน ได้เห็นหนุ่มสาว ดีกว่านั่งอยู่แต่ในบ้าน” 

เรียกว่าเป็นประโยชน์ที่มากกว่าตาเห็นและมือที่กำลังถักทอ ซึ่งผลที่ได้รับนั้นก็ไม่ใช่เพียงผลงานไหมพรมสวยๆ ที่สร้างสรรค์เองแล้ว ยังได้รับความสุขความผ่อนคลายจากงานอดิเรกนี้อีกด้วย 


จิตใจแย่...คนแก้ต้องอาร์คิว (RQ)




จิตใจแย่...คนแก้ต้องอาร์คิว (RQ) 

ภาวะ เศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ทำให้มีโรงงานและสถานประกอบการหลายแห่งต้องปิดตัวลง ทำให้คนจำนวนมากต้องตกงาน ที่ยังมีงานทำอยู่ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น สภาพสังคมอยู่ในสภาวะล่อแหลม เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาฆ่าตัวตาย ยาเสพติด และลักวิ่งชิงปล้น 
ยิ่งอากาศที่ร้อนอบอ้าวที่กำลังจะมาถึงก็เป็นอีก สาเหตุหนึ่งที่มีผลต่อสุขภาพจิตและภาวะอารมณ์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว กรมสุขภาพจิตจึงออกกลเม็ดช่วยคนไทย "ตรวจเช็กสุขภาพจิต กู้วิกฤติด้วยอาร์คิว(RQ)" 

RQ คืออะไร..... 
RQ (Resilience Quotient) เป็นศักยภาพทางอารมณ์และจิตใจในการปรับตัว และฟื้นตัวภายหลังเหตุการณ์วิกฤติ หรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความยากลำบาก อันเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่จะช่วยให้บุคคลผ่านพ้นปัญหาอุปสรรค และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข 

RQ จึงเป็นพลังสุขภาพจิตที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่คนเราต้องการพลังสุขภาพจิตมากกว่าภาวะทั่วไป โดยพลังสุขภาพจิตนี้จะนำพาให้เราก้าวผ่านไปได้ 

RQ สร้างได้อย่างไร..... 
กรม สุขภาพจิตได้แนะนำหลักคิดสู่ RQ ไว้สั้นๆ เพียง 3 คำคือ ฉันเป็น ฉันมี ฉันทำได้ (I am, I have, I can) คือ ฉันเป็นคนอดทนเข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ ฉันมีกำลังใจ มีคนรักและห่วงใย ฉันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ได้ 

โดยใช้เทคนิค 4 ปรับ 3 เติม เพิ่ม RQ ดังนี้ 

4 ปรับ คือ ปรับอารมณ์ ปรับความคิด ปรับการกระทำ ปรับเป้าหมาย 

3 เติม คือ เติมศรัทธา เติมมิตร เติมจิตใจให้กว้าง 

คนที่มี RQ เป็นคนอย่างไร..... 
ศักยภาพทางสุขภาพจิต RQ จะแสดงออกได้โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ กล่าวคือ 

ระดับพื้นฐาน คือ เมื่อเผชิญวิกฤติยังสามารถดำรงความสงบสมดุลทางอารมณ์ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตไว้ได้

ระดับที่สอง คือ เมื่อพบปัญหาสามารถลุกขึ้นมาจัดการปัญหา แสดงออกถึงการเป็นคนที่มุ่งแก้ปัญหามากกว่าติดอยู่ในกับดักของอารมณ์และความรู้สึก 

ระดับที่สาม แม้ในยามที่มีความทุกข์ แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า มีความมั่นใจ และมีมุมมองต่อตนเองในเชิงบวก 

ระดับที่สี่ มีทักษะการจัดการทางอารมณ์ที่จะฟื้นตัวได้เร็ว หายจากความเศร้าเสียใจได้เร็ว 

ระดับที่ห้า เป็นระดับสูงสุด ความสามารถหรือพรสวรรค์ที่จะเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างน่าทึ่ง

เทคนิคสร้างสรรค์อารมณ์ดี




จิตกับกายนั้นสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน ยามใดที่คุณเครียด กลุ้มใจ อารมณ์บ่จอย ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะอ่อนแอลงโดยอัตโนมัติ สังเกตว่าใครมีโรคประจำตัวอยู่ก็มักจะกำเริบ เช่น ยิ่งเครียด โรคกระเพาะยิ่งกำเริบ แล้วจะปล่อยให้ตัวเองเครียดไปทำไม วิธีแก้ไขเพียงจัดการวิธีคิดเท่านั้นเอง เรามีเคล็ดลับตัดขาดความเครียดสร้างสรรค์อารมณ์ดีมาฝากกัน 

ตื่นมาเช้าวันใหม่ ยิ้มรับวันสดใสให้ตัวเองก่อนใคร เป็นการสร้างพลังอารมณ์ด้านบวกให้ตัวเองเป็นทุน เชื่อได้เลยว่ารัศมีอารมณ์ดีของคุณจะเจิดจ้าจนคนในครอบครัวหรือคนรอบข้างคุณสัมผัสได้ คุยอะไรกับใครก็จะส่งความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน 

มองโลกในแง่ดี ข้อนี้คือกุญแจสำคัญของคนอารมณ์ดีเลยทีเดียว เมื่อมีเหตุใดให้มีอารมณ์เสีย การมองโลกในแง่ดีก็ทำให้หายโมโหได้เร็วกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย

บางคนชีวิตช่างเครียดเสียจริงเป็นเสือยิ้มยากอยู่ตลอด วิเคราะห์กันดีๆ จะเห็นว่าเป็นคนยึดติด เถรตรง กำปั้นทุบดิน ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิดไปหมดทุกเรื่อง ดังนั้นต้องมีความยืดหยุ่นทางความคิด คนที่ไม่ยึดติดมักจะมีอารมณ์ดีไม่มีเครียด เพราะไม่ค่อยผิดหวังจากสิ่งต่างๆ 

คนที่อารมณ์ดีสม่ำเสมอและดูมีชีวิตง่ายๆ สบายดี หลายคนเป็นคนยอมรับความจริงของชีวิต มีความพร้อมยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ เกิดขึ้น และเป็นไป ไม่โทษแต่คนอื่น หรือลมฟ้า การเมือง เศรษฐกิจ ว่าเป็นมลพิษต่อชีวิตของเขา มีความสุขใจในชีวิตพอเพียง

อย่าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เพราะการคิดเช่นนี้จะกัดกร่อนภาวะอารมณ์และสติปัญญามากที่สุด

รับประทานอาหารที่มีเซโรโทนินสูง เพราะเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อสื่อประสาทในสมองที่ส่งผลต่อภาวะอารมณ์ มีมากในอาหารหลายชนิด เช่น หัวกรอย ข้าวเหนียว ข้าวโพด เป็นต้น

เติมสุนทรีย์ให้ชีวิตสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสังสรรค์กับคนในครอบครัว เพื่อนๆ หรือกับคนที่คุณรัก ดนตรี ภาพยนตร์ หนังสือดีๆ ภาพศิลปะ เดินทางท่องเที่ยว ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ กระทั่งอาจปล่อยตัวให้ไร้สาระบ้างในบางเวลา ฯลฯ 

หลักสำคัญของเคล็ดลับการเป็นคนมีอารมณ์ดี คือ คิดดี คิดบวก ทำดี มีเมตตา เอื้ออาทรและรู้จักให้อภัย โดยไม่เพียงแต่คุณจะได้รับความสุขเท่านั้น คุณยังจะทำให้คนในครอบครัวหรือคนที่คุณรักได้รับความสุขจากคุณด้วยเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มาบริหารสมองและความจำกันดีกว่า




มีเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการบริหารสมองและความจำให้แหลมคม ฉับไว สดใสอยู่เสมอ วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคการบริหารสมองกัน…
  • คิดเสมอว่าตัวเองฉลาด ถือเป็นพื้นฐานแรกของการบริหารสมองด้วยการฝึกคิดในแง่บวกเกี่ยวกับตัวเอง ทำเช่นนี้บ่อยๆ แล้วคุณจะพบความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง
  • เล่นเกมส์ฝึกสมอง มีเกมส์มากมายที่คุณสามารถเลือกเล่นเพื่อบริหารสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส Photo Hunt โดยเฉพาะเกมส์เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ เช่น Crossword หรือ Scrable เป็นต้น และยัิงเล่นเกมส์ เหล่านี้ด้วยการจับเวลาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สมองได้ทำงานมากยิ่งขึ้น
  • ทำกิจวัตรให้แตกต่าง เป็นวิธีการบริหารสมองแบบ Neurobics ด้วยการทำกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยให้ แตกต่างไปจากที่เคยทำ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นประสาทส่วนที่ไม่ได้ใช้ในสมองให้ทำงานมากขึ้น เช่น
    - จัดห้องใหม่โดย เปลี่ยนที่วางของหยิบของในที่มืด หลับตาอาบน้ำหรือแต่งตัว
    - ขับรถไปทำงานโดยใช้เส้นทางอื่นที่ไม่ได้ใช้เป็นประจำ
    - บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้าหรือบวกเลขตั๋วรถเมล์
    - จับช้อนกินข้าวหรือจับแปรงสีฟันด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด
    - ฟังเพลงที่ไม่เคยรู้เนื้อร้องแล้วพยายามร้องตามโดยจำเนื้อเพลงให้ได้
    - ดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ที่มีสองภาษา
  • ทำงานศิลปะ เช่น การวาดรูป ทำงานประดิษฐ์ต่างๆ จะช่วยฝึกการทำงานแบบเป็นขั้นตอน การวางแผนฝึกคิดอะไรให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการฝึกวาดภาพบนสมุดบันทึกประกอบกับการเขียนบันทึก เป็นการฝึกใช้สมองซีกขวาที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์
  • พบปะผู้คน การได้อยู่ในสังคม พบปะเพื่อนฝูงหรือคนใหม่ๆ ได้ทำความรู้จักหรือพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะทำให้สมองเกิดการพัฒนามากขึ้น 
เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่ว่านานๆ ทำทีแล้วจะช่วยพัฒนาสมอง หากต้องการบริหารสมองอย่างจริงจังก็ควรทำเป็นประจำ เพราะมีการศึกษาพบว่าถ้าบริหารสมองให้ได้วันละ 2 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลา 5 สัปดาห์ คุณจะพบกับความเปลี่ยนแปลงในด้านความคิด ความจำ ที่ฉับไวขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ 

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำงานฝีมือฝึกสมาธิ




สำหรับผู้หญิงวัยทำงานหรือคุณแม่บ้านที่กำลังยุ่งขิงกับสารพัดเรื่องจุกจิกกวนใจ ไม่ว่าจะเป็นการงาน ครอบครัว เพื่อน ญาติมิตร สังคมรอบตัว คงจะอยากได้พื้นที่หายใจลึกๆ เป็นส่วนตัวกับช่วงเวลาพักผ่อนที่นอกเหนือไปจากการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง รดน้ำต้นไม้ เข้าสปา หรือแอบไปกรี๊ดสติแตกในห้องน้ำ (ที่คิดว่า) เก็บเสียงน่ะนะ

โลกของงานฝีมือจำพวกปักผ้า เย็บผ้า วาดรูป อาจจะฟังดูห่างไกลจากจินตนาการของผู้หญิงหลายๆคน แต่เชื่อหรือไม่ว่าสามารถสร้างสมาธิให้เราหยุดนิ่งอยู่กับงานตรงหน้าจนลืมวันเวลา ลืมความเครียด ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จิตใจจดจ่อด้วยความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงปลายทาง แต่ละความคืบหน้าที่ค่อยๆกระดืบไปทีละนิด ถือเป็นความภาคภูมิใจขั้นเอกอุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันในลักษณะนี้ได้เลย

เรามีงานฝีมือขั้นอนุบาลมาแนะนำ สำหรับผู้หญิงที่ไม่เคยฝีกปรืองานฝีมือมาก่อน หรือเคยคิดจะทำแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไร กระทั่งคนที่ลงมือทำไปบ้างแล้วแต่หยุดกลางคัน หรือร้างลาไปนานและหวนคิดว่าควรจะฝากฝีมือให้โลกระบือกันอีกครั้ง

  • ปักครอสติช งานฝีมือสุดเบสิก ขอแค่มีสายตาอันเฉียบคม แม่นยำ และชัดเจนพอที่จะทิ่มเข็มลงไปในช่องกระจิดริดได้อย่างเหมาะเหม็ง มือใหม่สามารถเริ่มได้จากชิ้นกะทัดรัด รูปสัตว์น่ารักๆ หรือภาพวิวจิ๋วๆ เชื่อสิว่าพอชิ้นแรกเสร็จสิ้น ความฮึกเหิมจะพุ่งปรี๊ดจนอาจข้ามขั้นไปหยิบชิ้นขนาดใส่กรอบแปะฝาผนังอวดความเซียนได้ทันที ปัจจุบันลวดลายการปักครอสติชนั้นมีให้เลือกละลานตาจนตัดสินใจไม่ถูก ทำเสร็จก็นำไปใส่กรอบสวยๆ ประดับประดาผนังให้รอบบ้าน กลายเป็นความปลื้มใจอีกต่างหาก
  • ควิลท์ติ้ง หรือศิลปะการต่อผ้าที่เรียกว่า แพทช์เวิร์ค เริ่มได้จากการเย็บผ้าทีละชิ้นต่อกันอย่างง่ายๆ งานชนิดนี้ก็ขอแค่เลือกเศษผ้ามาปะติดปะต่อกันให้สวยงาม สนเข็มกับด้ายเป็น เย็บผ้าได้ ก็ไปกันโลด มีหนังสือสอนทำควิลท์ติ้งพร้อมแบบสำหรับผู้เริ่มต้นอยู่ไม่น้อย ทำไปทำมาถ้าฝีมือชักก้าวหน้า จากผ้าผืนเล็กๆ ก็สามารถขยับขยายไปทำผ้าปูโต๊ะ กระเป๋าผ้าใบเล็กๆ กระทั่งของขวัญซึ่งมีค่าแก่ผู้รับได้ไม่ยาก
  • วาดภาพสีน้ำ แนะนำสีน้ำทั้งที่ความจริงแล้วเป็นสีที่ยากที่สุด แต่เป็นงานที่เข้าถึงง่ายที่สุด การเริ่มต้นนั้นคงต้องขอให้ไปเข้าคอร์สเรียนกับครูผู้เชี่ยวชาญพอให้รู้จักเทคนิคการวาดเส้น การลงสี ผสมสี ตลอดจนน้ำหนักของมือ สิ่งที่ได้รับคือวงเพื่อนฝูงที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน และจะชวนกันไปวาดภาพสีน้ำตามสถานที่ต่างๆเป็นกิจกรรมเพลิดเพลินตามมา แต่ถ้าชอบฉายเดี่ยว ก็เหมาะแก่การละเลงจินตนาการลงบนผืนผ้าใบตามแต่ใจปรารถนาในวันอารมณ์ดีๆ จะพาไป
  • สแครป บุ๊ค (Scrap Book) หรือการทำบันทึกส่วนตัวด้วยภาพถ่าย ผสมผสานด้วยข้อความกินใจ กำลังมาแรงแซงโค้ง เพราะมีอุปกรณ์ให้เลือกซื้อหาตามความชอบ แต่ถ้าเป็นคนสะสมกระดาษ สติ๊กเกอร์สวยๆ หรือสมุดไดอารี่อยู่แล้วก็หยิบมารังสรรค์ได้เลยตามรสนิยมส่วนตัว 
งานฝีมือทั้งหมดนี้เมื่อทำจบแล้วก็อาจกลายเป็นของขวัญ ของแทนใจผู้ให้ ของประดับบ้าน ของสะสม กระทั่งของขาย แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เรารู้ว่านอกเหนือจากสมาธิอันแรงกล้าที่คุณจะมีแน่ๆแล้ว ยังได้รับความอิ่มเอิบใจที่รู้ว่าฉันก็ทำ (มัน) ได้อย่างไม่น่าเชื่อ...เป็นของแถมอีกด้วยนะเออ

เทคนิคดูแลสมองและสุขภาพ




ผู้หญิงในยุคสมัยนี้ ต้องทั้งสวย ฉลาด และมีสุขภาพดี ลองคิดดูถ้ามีรูปร่างที่สมส่วนแล้วยังมีสมองที่ดีด้วย จะสมบูรณ์แบบแค่ไหน? ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ออกกำลังกาย แต่มักจะลืมที่จะดูแลและออกกำลังสมองของเราให้แข็งแรงปราดเปรื่อง มาเริ่มออกกำลังกายสมอง ด้วยเทคนิคง่ายๆ ให้เราสวย ฉลาด สมเป็นสาวยุคใหม่กันดีกว่า

เทคนิคทำให้สมองดี ทำได้ดังนี้

1. ออกกำลังกายเสียบ้าง เริ่มด้วยการออกกำลังกายให้เป็นนิสัยทุกวันๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และทำให้เริ่มต้นการทำงานได้อย่างสดชื่น นอกจากนี้ยังลดความตึงเครียดในระหว่างการทำงานให้น้อยลงด้วย

2. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ อาหารอะไรก็ตามที่คุณทาน ควรจะเป็นอาหารที่ให้ใยอาหารสูง ให้ปริมาณไขมันและโปรตีนในปริมาณพอเหมาะ แนะนำให้เลือกอาหารประเภทผสมธัญพืชขัดสีน้อย เช่นเครื่องดื่มนมผสมธัญพืช ที่เป็นแหล่งของใยอาหาร อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นในการพัฒนาร่างกายและสมองด้วย อาหารอีกชนิดหนึ่งที่แนะนำก็คือ ประเภทปลาที่มีโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมอง 

3. ฝึกนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก แบบลึกๆ ยิ่งหายใจได้ลึกเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงสมองมากเท่านั้น และการฝึกสมาธิก็เป็นวิธีหนึ่งในการออกกำลังสมอง ให้สามารถจดจำและมีจินตนาการได้ดี

4. เขียนบันทึกประจำวัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน การขีดเขียนเป็นประจำแบบนี้จะช่วยบริหารสมองไปโดยอัตโนมัติ ควรพยายามนึกและพยายามเล่าเรื่องให้ได้ใจความครบถ้วน

5. ทำกิจกรรมลับสมอง เพื่อเป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง เมื่อใดก็ตามที่คุณว่าง ให้ลองหาเกมลับสมองมาเล่นดู เช่นเกมปริศนาอักษรไขว้ ต่อจิ๊กซอว์ โซดุกุ หรือหมากรุก จะช่วยให้สมองได้ทำงาน เป็นเหมือนการลับสมองให้เฉียบคมอยู่เสมอ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน ไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้จากการอ่านแต่เพียงอย่างเดียว การเดินทางออกไปพบเจอสิ่งใหม่ๆต่างๆ การทำอาหารหรือการคบเพื่อนใหม่ๆ จะช่วยบริหารสมองให้มีกระแสความคิดวิ่งผ่านอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สมองปรับตัวและพัฒนาได้ไวขึ้น

ปรับวิธีคิดเพื่อความสุขและรอยยิ้ม



ในชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ปนเปเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าใครที่อยู่ท่ามกลางความทุกข์ ณ ขณะนี้ เราอยากชวนให้มาลองขยับริมฝีปาก ยกเป็นมุม 45 องศา ใช่แล้ว…ยิ้มนั่นเอง

ยิ้มให้ตัวเอง ยิ้มให้คนข้างๆ ยิ้มสู้โลก

บางสถานการณ์สิ่งที่สร้างรอยยิ้มได้ ไม่ใช่ความสุข แต่เป็นวิธีคิด เรามีวิธีคิดดีๆ มาฝากกัน

  • มองโลกในแง่จริง มองโลกในแง่ดี...เกินไป ก็ทำให้ประมาท มองโลกในแง่ร้าย...เกินไป ก็อมทุกข์ การมองโลกในแง่จริงนี่ละทำให้เรามีความพร้อมในการใช้ชีวิต รู้ว่ามีเงื่อนไข ปัจจัยอะไรบ้างที่จะมากระทบแล้วกลายเป็นตัวแปรต่อสถานการณ์ต่างๆ
  • หาความรู้ การจะมองโลกในแง่จริงได้ เราต้องมี ‘ความรู้’ ยกตัวอย่างง่ายๆ ในสถานการณ์น้ำท่วมจะเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารหลายชุด ลือบ้าง จริงบ้าง ตื่นตูมเกินเหตุบ้าง ทางที่ดีที่สุดคือเปิดใจรับฟังข้อมูลรอบด้าน ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ แล้วไตร่ตรองด้วยปัญญา การแสวงหาความรู้จะทำให้เรามีข้อมูล
สำหรับประกอบการตัดสินใจ และเกิดความผิดพลาดน้อยลง 
  • 1+1 < 2 ในภาวะที่ท้าทาย เราจะค้นพบพลังของตัวเอง และค้นพบเพื่อนที่ดี คนที่ยืนหยัดอยู่ข้างคุณคนที่ติดต่อมาหาคุณแล้วถามว่า “มีอะไรให้ช่วยไหม” ลองนำหนึ่งพลังของคุณ บวกกับหนึ่งพลังของเพื่อน แล้วคุณจะค้นพบคำตอบในสมการนี้ด้วยตัวเองว่า หนึ่งบวกหนึ่งจะมากกว่าสองได้อย่างไร
  • ขยันหาเรื่องดีๆ จริงๆ วันทั้งวันคนเรามีแต่ ‘เรื่อง’ ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะให้ทุกวันของชีวิตมีแต่เรื่องดีๆ ได้อย่างไร แต่ถ้าเรื่องดีๆ ไม่เดินมาหาเรา ก็ไม่แปลกที่เราจะเดินไปหามันเสียเอง เพราะหลายๆ ครั้งเรานี่แหละที่จะเป็นคนเปิด-ปิดประตูเลือกรับเรื่องที่จะเข้ามาหาเรา เช่น แทนที่จะดูหนังชีวิตบีบคั้นน้ำตา ฟังเพลงอกหักรักคุด ก็เปลี่ยนโหมดมาเลือกดูหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ฟังเพลงให้กำลังใจ หรือการแบ่งปันสิ่งที่คุณมีให้เพื่อนร่วมโลกที่ยังขาดแคลน รอยยิ้มจากผู้รับก็จะกลายเป็นรอยยิ้มของผู้ให้ได้เช่นกัน 
  • หวานสร้างพลัง เป็นไหมว่าเวลาเราเหนื่อยและเครียด เรามักอยากทานอะไรหวานๆ เย็นๆ ให้รู้สึกชื่นใจ นั่นเป็นเพราะว่าน้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง เมื่อได้รับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ตับอ่อนก็จะปล่อยอินซูลิน ส่งสัญญาณไปให้สมองสร้างสารซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งจะเป็นพระเอกในการลดความวิตกกังวล ความเครียด ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ และหลับง่าย น้ำผักผลไม้และเครื่องดื่มมอลต์สกัดเป็นทางเลือกที่เวิร์ก แถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย
สุดยอดเคล็บลับบอกต่อ: เครื่องดื่มมอลต์สกัด เป็นผลผลิตที่ได้จากยอดอ่อนของเมล็ดธัญพืช (ส่วนใหญ่ทำมาจากข้าวบาร์เล่ย์) ซึ่งพืชระหว่างเป็นยอดอ่อนนั้นจะสะสมสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต จึงมีทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตะมินและเกลือแร่ ทำให้มอลต์สกัดกลายเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและพลังงานที่นิยมดื่มกัน อย่างแพร่หลาย จบบทความนี้แล้ว อย่าลืมแบ่งปันรอยยิ้มไปสู่คนข้างๆ ด้วยแล้วกัน

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หัวเราะเข้าไว้ จิตแจ่มใส



เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยมีประสบการณ์แล้วว่า เมื่อเราหัวเราะ อารมณ์จะดีขึ้น ช่วยคลายเครียด และทำให้รู้สึกดี ไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ค้นพบว่าเสียงหัวเราะช่วยให้หัวใจแข็งแรง และช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วย 

เมื่อเราหัวเราะ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลได้ ซึ่งจะช่วยให้ความดันเลือดลดลง นอกจากนี้ก็จะช่วยเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนที่เชื่อมต่อกับการหัวเราะด้วย ได้แก่ กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อบนใบหน้า และกล้ามเนื้อส่วนหลัง การหัวเราะอย่างสดใสยังช่วยขยายปอด ทำให้คุณหายใจได้ง่ายขึ้น รวมถึงทำให้การไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีด้วย 

หัวเราะช่วยให้หัวใจแข็งแรง 

ถ้าอยากลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เราแนะนำให้คุณหาหนังตลกดีๆ สักเรื่องมาดู แค่ได้หัวเราะต่อเนื่องเป็นเวลา 15 นาที จะช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดี ในขณะที่การดูหนังเศร้าๆ หรือหนังสยองขวัญจะขัดขวางการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด จึงไม่ควรดูต่อเนื่อง หรือดูเป็นประจำ งานวิจัยค้นพบว่าการหัวเราะให้ได้วันละ 15 นาทีเป็นอย่างน้อย ยังมีคุณค่าเท่ากับการออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมออีกด้วย 

หัวเราะช่วยลดน้ำตาลในเลือด 

ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน เราแนะนำให้คุณหัวเราะให้บ่อยขึ้น เพราะการหัวเราะจะช่วยให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น งานวิจัยจากญี่ปุ่นค้นพบว่าหลังมื้ออาหาร ถ้าคุณดูรายการโทรทัศน์หรือหนังที่เรียกเสียงหัวเราะได้ จะช่วยลดระดับกลูโคสในเลือด แต่ถ้าดูรายการเครียดๆ ก็จะไม่ช่วยอะไรเลย นักวิจัยยังเพิ่มเติมด้วยว่า กล้ามเนื้อส่วนที่สัมพันธ์กับการหัวเราะนั้น จำเป็นต้องใช้น้ำตาลในเลือดเป็นพลังงาน ดังนั้น การคิดบวกมองโลกในแง่ดี รวมถึงหัวเราะเป็นประจำ จึงเท่ากับว่าร่างกายได้ดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ และเป็นการช่วยสร้างความสมดุลให้น้ำตาลในเลือดนั่นเอง 

หัวเราะช่วยให้อายุยืน 

การศึกษาของสหรัฐฯ ในกลุ่มผู้สูงวัยเกิน 95 ปี จำนวน 500 คน พบว่าพวกเขาเป็นคนง่ายๆ มองโลกในแง่ดี และหัวเราะอยู่เป็นประจำ รวมถึงชอบเข้าสังคม สนุกสนาน ซึ่งนักวิจัยเองยังระบุไม่ได้ชัดเจนว่าเหตุผลเป็นเพราะอะไร แต่จากสถิติที่ออกมา ก็พบว่ากลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดี คิดบวกสม่ำเสมอล้วนแล้วแต่มีอายุยืนยาวทั้งสิ้น 

รู้ไหมว่า... 

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย แลงคาสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ค้นพบว่าคนเราอาจหัวเราะครั้งแรกตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ก็ได้นะ เพราะตั้งแต่อยู่ในท้อง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของทารกก็สามารถทำงานได้แล้ว เมื่ออายุครบ 24 สัปดาห์ เด็กๆ เริ่มขยับใบหน้าให้เป็นท่าทางได้ และเมื่อครบ 35 สัปดาห์ ก็สามารถแสดงสีหน้าท่าทางได้หลายๆ อย่าง 

มาหัวเราะกันเถอะ 

เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราหัวเราะได้ในแต่ละวัน
  • หาเวลาคิดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิต ลองคิดเรื่องดีๆ อย่างน้อยสามเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วหัวเราะกับมัน
  • ทำสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น เมื่อเห็นเขายิ้ม จงยิ้มตามไปด้วย
  • สร้างเป้าหมายเล็กๆ และเมื่อทำสำเร็จ คุณจะรู้สึกเป็นสุข และมีความสุข
  • หาเวลาออกกำลังกาย จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น
  • ถ้าหากชีวิตมีปัญหา หรือเจอเรื่องแย่ๆ ให้มองมันเป็นเรื่องตลก
  • เมื่อรู้สึกเหนื่อยๆ หรือเบื่อ สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้กับตัวเองได้ ด้วยการรับประทานขนมที่มีประโยชน์ เช่น ไอศกรีมรสชาติที่คุณโปรดปราน โดยเลือกที่มีความหวานพอดี และใช้สีธรรมชาติ

มาจัดการความเครียดกันเถอะ




แน่นอนว่าความเครียดกับเรื่องงานเป็นของคู่กัน แต่ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นมากๆ ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพการทำงาน ตลอดจนสุขภาพจิตได้ด้วย 

ในการทำงานนั้น อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะปล่อยให้ความเครียดเข้าเกาะกุมจนทำอะไรไม่ได้ การจัดการความเครียดในที่ทำงานนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นๆ รอบตัว ย้ายโต๊ะใหม่ หรือคิดงานใหม่ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของการควบคุมตัวเองให้ได้ต่างหาก นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด

รับมือกับสถานการณ์ไม่แน่นอนให้ได้ 

พนักงานทุกหนแห่งต่างก็ต้องประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ ตลอดจนเรื่องการลดเงินเดือน หรือเงินเดือนไม่ขึ้น อะไรก็ตามแต่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้คุณรู้สึกสับสน กังวล ไม่แน่ใจ และเพิ่มความเครียดได้มากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องเรียนรู้เพื่อรับมือกับความเครียดให้ได้ 

อารมณ์ของคุณเองนั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด และความเครียดนั้นส่งผลต่อการสื่อสารกับคนอื่น ยิ่งคุณจัดการความเครียดของตัวเองได้เท่าไหร่ คุณก็จะรับมือกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากเท่านั้น และคนอื่นๆ ก็จะไม่สร้างผลกระทบในแง่ลบให้กับคุณด้วย ซึ่งหลักการง่ายๆ ในการจัดการความเครียดก็คือ คุณต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของตัวเองให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง รวมถึงระมัดระวังเรื่องการสื่อสารกับคนอื่นๆ รอบตัว 

เมื่อไหร่กันที่เราเครียดเกินไปเสียแล้ว 

เมื่อคุณรู้สึกเคร่งเครียดในที่ทำงาน คุณเสียความมั่นใจ และอาจทำให้คุณทำงานได้น้อยลง ไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่เคย แต่ละงานที่ทำก็ขาดความน่าสนใจอย่างที่เคย ถ้าหากคุณละเลยสัญญาณแห่งความเครียด แล้วปล่อยไปเรื่อยๆ บางที มันอาจนำมาซึ่งปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม และอาจไม่จบลงแค่ความพึงพอใจในการทำงาน แต่ยังส่งผลต่อปัญหาสุขภาพได้ด้วย

สำหรับสัญญาณที่บอกว่าร่างกายของเราเครียดจากงานมากเกินไปได้แก่ รู้สึกกังวล หดหู่ จิตใจหมองหม่น ปวดเมื่อยหรือเจ็บกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ หมดความสนใจในหน้าที่การงาน นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย หมดอารมณ์ทางเพศ ไม่อยากเข้าสังคม มีปัญหาการขับถ่าย ไม่มีสมาธิ ขาดการควบคุมตัวเอง และบางรายอาจต้องพึ่งพาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ 

ดูแลตัวเองเพื่อลดความเครียด

เมื่อใดก็ตามที่ความเครียดในที่ทำงานส่งผลต่อการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณ หรือแม้แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เท่ากับว่าได้เวลาที่คุณต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เริ่มแรกก็คือใส่ใจต่อร่างกายของตัวเอง ถ้าหากคุณดูแลร่างกายเป็นอย่างดี สุขภาพแข็งแรง คุณก็จะสามารถทนต่อความเครียดได้ ยิ่งคุณรู้สึกดีต่อตัวเองเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งจัดการความเครียดได้ดีขึ้นเท่านั้น 

การดูแลตัวเองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมาก เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจทำให้คุณอารมณ์ดี เพิ่มพลังได้ และทำให้คุณรู้สึกว่าพร้อมที่ทำงาน ถ้าหากคุณมองชีวิตในทางบวก ในไม่ช้าคุณจะพบว่าความเครียดของคุณลดลง ทั้งในที่ทำงานและที่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน 

และนี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยคลายเครียดได้ค่ะ 

ออกกำลังกายสำคัญที่สุด 

ขอแนะนำให้คุณเลือกออกกำลังที่ทำให้ใจเต้นแรง เหงื่อออก ซึ่งจะทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น เพิ่มพลัง และทำให้เป้าหมายคมชัด ตลอดจนผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าวันไหนเครียดมากๆ เราแนะนำให้ลองออกกำลังกายสัก 30 นาที ซึ่งแน่นอนว่าการออกกำลังนั้นต้องทำให้ใจเต้นแรงด้วยตามที่เราบอกไป เชื่อว่าหลังจากทำเสร็จ อารมณ์ของคุณจะดีขึ้น 

เลือกอาหารที่ใช่ 

เมื่อใดก็ตามที่น้ำตาลในเลือดตก หมายความว่าคุณอาจกังวล และเครียดผิดปกติได้ แต่ถ้ารับประทานมากเกินไป ก็จะไม่ดีต่อร่างกายเช่นเดียวกัน การรับประทานอาหารที่ดี เหมาะสม คือการกินอาหารให้หลากหลาย และไม่มากจนเกินไป กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด ข้าวกล้อง ซึ่งจะช่วยให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และทำให้คุณมีพลัง มีเป้าหมาย ไม่ขี้หงุดหงิด 

เติมเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย 

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียด หรือรู้สึกมึนๆ จากงานต่างๆ ให้หาเครื่องดื่มเย็นๆ ซักแก้ว อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ มิลค์เชค โยเกิร์ต หรือชามะนาวซักแก้วก็ได้ แต่อย่าลืมสังเกตุปริมาณน้ำตาล คุณควรเลือกชนิดที่มีน้ำตาลพอเหมาะเพราะถ้าได้น้ำตาลมากเกินไป จะกลับกลายเป็นว่าน้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้อาจเลือกเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวนิดๆ จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นได้มากขึ้น 

นอนหลับให้เพียงพอ 

ความเครียดนั้นส่งผลต่อร่างกาย ทำให้คุณมีปัญหานอนไม่หลับ และการนอนไม่พอ ก็จะทำให้คุณยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก ดังนั้น คุณจึงต้องพักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอ เพื่อรับมือกับความเครียด เพราะเมื่อคุณนอนหลับสนิท ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ก็จะสมดุล สดชื่น ไม่เครียดจนเกินไป คำแนะนำคือ นอนหลับให้ได้อย่างน้อยๆ วันละ 6 – 8 ชั่วโมง

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร




คุณเป็นคนขี้กังวลมากเกินไปหรือเปล่า เพราะอาการขี้กังวล เช่น กลัวว่างานจะมีปัญหา หรือคิดกลุ้มใจซ้ำๆ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดได้ ยิ่งถ้าคุณกังวลมากขึ้น สุดท้ายแล้วมันจะนำไปสู่ความสับสน และอาจทำให้ร่างกายป่วยได้ด้วย

เครียดมากเกินไป แล้วเป็นอย่างไร 

สิ่งที่จะกระทบต่อร่างกายก็คือ ระบบการย่อยอาหาร ลักษณะการดำเนินชีวิต ความสัมพันธ์ส่วนตัว การนอนหลับ ตลอดจนศักยภาพในการทำงาน ยิ่งกังวลมากเท่าไหร่ ชีวิตก็จะยิ่งเครียดมากเท่านั้น บางรายอาจต้องสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์คลายเครียด รวมไปถึงกินมากเกินไปจนทำให้อ้วนได้ 

เครียดมากๆ แล้วป่วยได้ไหม 

คำตอบก็คือได้ ยิ่งถ้าคุณเครียดมากจนเกินควร หรือบ่อยๆ จะส่งผลต่อสุขภาพได้ เพราะร่างกายปล่อยฮอร์โมนความเครียดอย่าง คอร์ติซอลออกมา ฮอร์โมนนี้จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และไตรกรีเซอไรด์ จึงส่งผลกระทบต่อร่างกาย ได้แก่ กินอาหารได้น้อย วิงเวียน ปากแห้ง หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสีย วิตกกังวล หายใจเร็ว เหงื่อออกไม่หยุด ตลอดจนตัวสั่น ใจสั่น และยิ่งถ้าฮอร์โมนความเครียดเพิ่มมากขึ้น ร่างกายก็จะยิ่งเครียดจนอาจเกิดอาการอันตราย ได้แก่ ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน อาหารไม่ย่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง ความจำสั้น ไปจนถึงขั้นหัวใจวาย

ใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ตกเป็นทาสความเครียด

เป็นเรื่องสำคัญมากที่คนเราต้องควบคุมความเครียดให้ได้ เพราะความเครียดนั้นส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกายได้ทั้งหมด สำหรับใครที่รู้สึกว่าตัวเองเครียดมากเกินไป เรามีทางเลือกง่ายๆ เพื่อให้คุณได้ดูแลร่างกาย และจิตใจ ให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ 

  • ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เริ่มต้นแบบง่ายๆ ไปก่อน ไม่ต้องหักโหมมาก ทั้งนี้ การออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ลองเริ่มด้วยการเต้นแอโรบิกเล็กๆ น้อยๆ หรือเด่นเล่นในสวนสาธารณะ คำแนะนำของเราคือ เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียด ให้ไปออกกำลังกายเสีย จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ไม่หมกหมุ่นกับเรื่องทีคุณกังวลอยู่ขึ้นได้มากทีเดียว
  • ดูแลเรื่องอาหารการกิน คนบางคนเวลาเครียด ก็กินอาหารไม่ลง บางคนก็กินมากเกินไป และบางคนก็มีแนวโน้มจะกินอาหารที่ไม่ดีต่อร่างกาย เนื่องจากเครียดจัดจนไม่มีเวลาสรรหาอาหารที่ดีพอมารับประทาน คำแนะนำของเราคือ ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียดเกินไป และหยุดคิดก่อนจะเลือกทานอาหาร สำหรับอาหารที่เป็นตัวช่วยลดความเครียดได้ เช่น กล้วย นม ช็อกโกแลต เป็นต้น แต่ก็ต้องทานในปริมาณที่พอดี 
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนแต่พอประมาณ ชา กาแฟมีสารช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกายแล้ว ส่วนกาเฟอีนมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นร่างกายและสมองแบบอ่อนๆ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ผ่อนคลาย โดยเฉพาะกลิ่นหอมของกาแฟ จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นได้มากขึ้น ควรดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับบุคลทั่วไปคือ นั่นคือ ไม่ควรเกินวันละ 3 แก้ว
  • ตระหนักรู้ว่าตัวเองกังวลเรื่องอะไร ในแต่ละวัน เราอยากให้คุณหาเวลาอยู่กับตัวเองอย่างน้อยๆ 15 นาที ปล่อยให้ตัวเองคิดเรื่องปัญหาหรือความกังวลอย่างเต็มที่ และมีสมาธิในการหาทางแก้ปัญหา แต่พบครบ 15 นาทีแล้ว เราอยากให้คุณเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น และทำใจให้สบาย คุณตระหนักรู้ได้ว่าปัญหามีอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องนึกถึงมันตลอดเวลา
  • เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย เคล็ดลับง่ายๆ ที่เราพอจะบอกคุณได้ก็คือ ถ้าเครียดมากให้ลองหลับตาลง แล้วหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ โดยพยายามหายใจเข้าให้ลงมาที่ท้อง และหายใจออกให้ยาวที่สุด คุณยังอาจเลือกฟังเพลงเพราะๆ เบาสบาย ไปเล่นโยคะ ไทชิ หรือดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ