Social Icons

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถนอมดวงตาอย่างไร ให้ใช้ได้ยาวนาน


ถนอมดวงตาอย่างไร ให้ใช้ได้ยาวนาน

ทุกคนย่อมอยากมีสายตาที่มองเห็นแจ่มชัดไปจนตลอดอายุขัย แต่ด้วยความเสื่อมของร่างกายที่มาพร้อมกับวัยที่มากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง สายตาเริ่มขุ่นมัวไปตามอายุ การดูแลสุขภาพตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตามีสุขภาพแข็งแรงและใช้งานได้อย่างปกตินานที่สุด ซึ่งการดูแลรักษาสุขภาพดวงตาเริ่มตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยสูงอายุ ดังนี้
       
       วัยเด็ก 
       
       - สำหรับเด็กแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย และต้องอยู่ในตู้อบให้ออกซิเจน จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประเมินโรคเส้นเลือดเติบโตผิดปกติที่จอประสาทตา (Retinopathy of prematurity : ROP) ซึ่งหากเกิดขึ้น ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้วยเลเซอร์หรือการผ่าตัด ไม่เช่นนั้น อาจมีภาวะแทรกซ้อนจนถึงตาบอดได้
       
       - เด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าหากยังไม่มองหน้าแม่ หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น ต้องได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์
       
       - เด็กในวัยเข้าเรียน ที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติ เอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบตาบ่อย อาจมีปัญหาทางสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสาเหตุอื่น สมควรได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์
       
       วัยทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ
       
       - ควรพักสายตาโดยมองไกลประมาณ 5 - 10 นาที ต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาจะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาและอาการตาแห้งได้
       
       - ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมาก เพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์ เช่น ไม่ควรวางจอคอมพิวเตอร์ของเราหันหลังให้กับหน้าต่าง
       
       - ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าได้ง่าย หรืออย่างน้อยไม่ควรอยู่ต่ำกว่าจอแสดงผล
       
       - ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ๆ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้
       
       - ผู้ที่มีปัญหาทางสายตา อาจทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาได้
วัยผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป
       
       - ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจหาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และภาวะตาบอดจากต้อหินนั้นไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้
       
       - ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ควรตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี
       
       - ต้อกระจก พบได้ตั้งแต่อายุ 50 - 60 ปีขึ้นไป รักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม ทำให้การมองเห็นกลับมาใกล้เคียงหรือเหมือนปกติได้
       
       - โรคจุดรับภาพเสื่อม ปัจจุบันมีการรักษาใหม่ ๆ เช่น การฉีดยาชะลอการเกิดใหม่ของเส้นเลือด การตรวจพบโดยจักษุแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกของโรคจะช่วยรักษาการมองเห็นไว้ได้ดีกว่าเดิมมาก
       
       ข้อควรปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพตาให้ดี
       
       - หมั่นตรวจตาเป็นประจำโดยจักษุแพทย์ ในเด็กควรพบจักษุแพทย์อย่างน้อยในช่วง 3 - 5 ปีก่อนเข้าโรงเรียน และรับการตรวจเป็นประจำเมื่อมีปัญหาเรื่องสายตา ผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง ส่วนในผู้ที่มีความเสี่ยงเฉพาะโรคตา เช่น โรคเบาหวาน หรือมีประวัติโรคตาในครอบครัว เช่น ต้อหิน จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาบ่อยขึ้นตามแพทย์นัด
       
       - สวมแว่นกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดด หรือต้องใช้สายตาในที่มีแสงมาก เพื่อป้องกันโรคต้อเนื้อ ต้อกระจก จอรับภาพเสื่อม
       
       - สวมแว่นป้องกันการกระแทกที่ได้มาตรฐาน สำหรับผู้ทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น ช่างเชื่อมโลหะ ช่างไม้ ผู้เล่นกีฬา
       
       - รับประทานอาหารที่มีคุณค่าช่วยบำรุงสายตาเป็นประจำ ได้แก่ กลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) จำพวกอาหารเสริม และวิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, E, เบต้าแคโรทีน, สังกะสี, ไบโอฟลาโวนอยด์ สาร Lutein และ Zeaxanthin ที่พบมากในผักใบเขียว จะช่วยป้องกันโรคจอตาเสื่อม ต้อกระจกได้กรดไขมันชนิด Omega-3 จะช่วยรักษาอาการตาแห้ง พบมากในปลาทะเลบางชนิด เช่น แซลมอน แมคเคอเรล เป็นต้น