Social Icons

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รู้เรื่อง “ถั่ว”

รู้เรื่อง “ถั่ว”

รูปภาพ : รู้เรื่อง “ถั่ว”

ถั่ว คือ พืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae จัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ถั่วฝัก (Bean) เป็นถั่วในฝักที่มีเมล็ดไม่กลม กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว ถั่วแปบ หรือกินเฉพาะเมล็ด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า

2.ถั่วฝักเมล็ดกลม (Pea) เป็นถัวในฝักที่มีเมล็ดกลม กินฝักสดที่ยังไม่แก่เต็มที่ บางครั้งเรียกว่า Green Pea เช่น ถั่วลันเตา ถั่วชิกพี

3.ถั่วเมล็ดแบน (Lentil) ลักษณะเมล็ดแบนเล็กเหมือนนัยน์ตาคน มีหลายสี เช่น เขียว น้ำตาล

นอกจากนี้เมล็ดของถั่วทั้ง 3 กลุ่มยังแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1.ถั่วน้ำมัน (Oilseed legume) คือ ชนิดที่มีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง

2.ถั่ว Pulse คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ ซึ่งสะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต และเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า ฯลฯ
ถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ได้แก่ ส่วนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ พิสทาชิโอ วอลนัท แมคาเดเมีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง มีเปลือกผลแข็งมาก แม้ “นัท” จะมีโปรตีนน้อยกว่าถั่วเมล็ดแห้งแต่นัทเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอัลมอนด์อุดมไปด้วยแมกนีเซียมสูง ซึ่งในถัวเมล็ดแห้งนั้นมีเพียงน้อยนิด

ประโยชน์ของถั่ว

1.เปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งมีหลากสี เช่น เขียว ดำ แดง น้ำตาลส้ม ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ โครงสร้างของเปลือกถัวและเนื้อในเมล็ดมีใยอาหารปริมาณสูง ซึ่งมีทั้งแบบที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้

- ชนิดไม่ละลายในน้ำ จะช่วยเพิ่มกากใยและอุ้มน้ำ ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายเป็นปกติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และริดสีดวงทวาร

- ชนิดละลายในน้ำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารชนิดนี้จับตัวกับน้ำได้ดีซึ่งมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบแล้วขับออกจากร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกานใช้คอเลสเตอรอลที่มีอยู่มาสร้างน้ำดีเพื่อทดแทน ผลก็คือจะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก

2.เอนโดสเปิร์ม (Endosperm) คือ อาหารที่สะสมที่อยู่ในเมล็ดถัวเป็นส่วนสำคัญในการงอกของเมล็ดเป็นต้นอ่อน ซึ่งบรรจุสารอาหารที่มีคุณค่าไว้มากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน แร่ธาตุบางชนิด เอนไซม์

- คาร์โบไฮเดรต จะสะสมอยู่ในรูปของแป้ง เมื่อรับประทานถัวร่างกายจะย่อยแป้งที่มีอยู่นถั่วและดูดซึมน้ำตาลที่ได้ไปใช้อย่างช้าๆ ทำให้มีกลูโคสลำเลียงเข้าไปในเลือดอย่างสม่ำเสมอ การกินถัวเมล็ดแห้งจึงเป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

 - ไขมัน ในถั่วมีไขมันค่อนข้างต่ำ ยกเว้นถั่วเหลืองที่มีไขมันสูงถึง 30-35% แต่ไขมันดังกล่าวจะมีปริมาณของไขมันคุณภาพดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ กรดไลโนเลอิกและกรดโอเลอิก ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก น้ำมันถั่วเหลืองจึงเป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพ

 - โปรตีน โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ ฮอร์โมน โลหิต และความเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ คุณภาพของโปรตีนจึงต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในเมล็ดถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแม้ว่าหลายๆ คนจะบอกว่าคุณภาพโปรตีนจะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ แต่ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดแอมิโนที่จำเป็นอยู่ 10 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในเมล็ดถั่วมีกรดแอมิโนทั้งสิบชนิดไม่แตกต่างจากเนื้อสัตว์เพียงแต่มีปริมาณของกรดแอมิโนบางชนิดน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการบริโภคโปรตีนจากถั่วต้องรับประทานธัญพืชอย่างอื่นเสริมด้วยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะมีโปรตีนแล้วยังมีไขมันอิ่มตัวแทรกอยู่ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง

3.เอนไซม์และแร่ธาตุ เอนไซม์ที่มีอยู่ในถัวเมล็ดแห้งจะเป็นเอนไซม์ที่ยังไม่ทำงานกระทั่งเมื่อได้รับน้ำและออกซิเจนจึงจะเริ่มทำงาน ช่วยให้เมล็ดถั่วงอกเป็นต้นอ่อน เมล็ดถั่วยังมีแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม พบมากในถั่วเหลือง เป็นต้น

http://www.samunpri.com/?p=6168

รู้เรื่อง “ถั่ว”

ถั่ว คือ พืชที่อยู่ในวงศ์ Fabaceae จัดแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ถั่วฝัก (Bean) เป็นถั่วในฝักที่มีเมล็ดไม่กลม กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว ถั่วแปบ หรือกินเฉพาะเมล็ด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า

2.ถั่วฝักเมล็ดกลม (Pea) เป็นถัวในฝักที่มีเมล็ดกลม กินฝักสดที่ยังไม่แก่เต็มที่ บางครั้งเรียกว่า Green Pea เช่น ถั่วลันเตา ถั่วชิกพี

3.ถั่วเมล็ดแบน (Lentil) ลักษณะเมล็ดแบนเล็กเหมือนนัยน์ตาคน มีหลายสี เช่น เขียว น้ำตาล

นอกจากนี้เมล็ดของถั่วทั้ง 3 กลุ่มยังแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1.ถั่วน้ำมัน (Oilseed legume) คือ ชนิดที่มีโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง

2.ถั่ว Pulse คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ ซึ่งสะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรต และเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า ฯลฯ
ถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ได้แก่ ส่วนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ พิสทาชิโอ วอลนัท แมคาเดเมีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง มีเปลือกผลแข็งมาก แม้ “นัท” จะมีโปรตีนน้อยกว่าถั่วเมล็ดแห้งแต่นัทเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอัลมอนด์อุดมไปด้วยแมกนีเซียมสูง ซึ่งในถัวเมล็ดแห้งนั้นมีเพียงน้อยนิด

ประโยชน์ของถั่ว

1.เปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งมีหลากสี เช่น เขียว ดำ แดง น้ำตาลส้ม ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ โครงสร้างของเปลือกถัวและเนื้อในเมล็ดมีใยอาหารปริมาณสูง ซึ่งมีทั้งแบบที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้

- ชนิดไม่ละลายในน้ำ จะช่วยเพิ่มกากใยและอุ้มน้ำ ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายเป็นปกติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และริดสีดวงทวาร

- ชนิดละลายในน้ำ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใยอาหารชนิดนี้จับตัวกับน้ำได้ดีซึ่งมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบแล้วขับออกจากร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกานใช้คอเลสเตอรอลที่มีอยู่มาสร้างน้ำดีเพื่อทดแทน ผลก็คือจะไปช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก

2.เอนโดสเปิร์ม (Endosperm) คือ อาหารที่สะสมที่อยู่ในเมล็ดถัวเป็นส่วนสำคัญในการงอกของเมล็ดเป็นต้นอ่อน ซึ่งบรรจุสารอาหารที่มีคุณค่าไว้มากมาย เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน แร่ธาตุบางชนิด เอนไซม์

- คาร์โบไฮเดรต จะสะสมอยู่ในรูปของแป้ง เมื่อรับประทานถัวร่างกายจะย่อยแป้งที่มีอยู่นถั่วและดูดซึมน้ำตาลที่ได้ไปใช้อย่างช้าๆ ทำให้มีกลูโคสลำเลียงเข้าไปในเลือดอย่างสม่ำเสมอ การกินถัวเมล็ดแห้งจึงเป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

- ไขมัน ในถั่วมีไขมันค่อนข้างต่ำ ยกเว้นถั่วเหลืองที่มีไขมันสูงถึง 30-35% แต่ไขมันดังกล่าวจะมีปริมาณของไขมันคุณภาพดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวค่อนข้างสูง ได้แก่ กรดไลโนเลอิกและกรดโอเลอิก ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกาย เช่น ช่วยสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผิวหนัง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก น้ำมันถั่วเหลืองจึงเป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่มีคุณภาพ

- โปรตีน โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ ฮอร์โมน โลหิต และความเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ คุณภาพของโปรตีนจึงต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน ในเมล็ดถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญแม้ว่าหลายๆ คนจะบอกว่าคุณภาพโปรตีนจะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ แต่ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดแอมิโนที่จำเป็นอยู่ 10 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในเมล็ดถั่วมีกรดแอมิโนทั้งสิบชนิดไม่แตกต่างจากเนื้อสัตว์เพียงแต่มีปริมาณของกรดแอมิโนบางชนิดน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการบริโภคโปรตีนจากถั่วต้องรับประทานธัญพืชอย่างอื่นเสริมด้วยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะมีโปรตีนแล้วยังมีไขมันอิ่มตัวแทรกอยู่ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง

3.เอนไซม์และแร่ธาตุ เอนไซม์ที่มีอยู่ในถัวเมล็ดแห้งจะเป็นเอนไซม์ที่ยังไม่ทำงานกระทั่งเมื่อได้รับน้ำและออกซิเจนจึงจะเริ่มทำงาน ช่วยให้เมล็ดถั่วงอกเป็นต้นอ่อน เมล็ดถั่วยังมีแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม พบมากในถั่วเหลือง เป็นต้น

หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

รูปภาพ : หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

ผักแขยง ฟังแค่ชื่อก็ไม่ค่อยไม่น่าภิรมย์ รู้สึกแขยงอย่างไรไม่รู้ แล้วยังเรียกว่าผักอีก มันจะกินได้ไหมนี่!แต่ถ้าใครได้รู้จักผักนี้ก็ต้องบอกว่ามันกินได้จริง แต่ไม่ใช่ผักที่นิยมนำมากินได้กินดีกินทุกวันเหมือนผักอื่นๆ ที่สำคัญความเฉพาะของผักนี้อยู่ที่กลิ่น มีกลิ่นหอมฉุนมาก เพราะมีน้ำมันหอมระเหย คนที่ไม่ชื่นชอบผักประเภทกลิ่นฉุนร้อนแรงก็ต้องเบือนหน้าหนี บ้างก็บอกว่าเหม็น

 ผักแขยงจะมีกลิ่นแรง ซึ่งทำให้ผักนี้มีกลิ่นเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง และรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวและชูรสชาติ กลิ่นหอมฉุนนั้นมาจากน้ำมันหอมระเหยในผักซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการเจริญของเชื้อโรค จัดเป็นผักพื้นบ้านในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยในการต้านมะเร็ง  ชาวอีสานและชาวเหนือกินผักแขยงกันมากในรูปของผักเหนาะจิ้มน้ำพริก ลาบ ลู่ แกงอ่อม ที่บ้านแม่จะใส่ในแกงหน่อไม้หรือแกงเปรอะ รสชาติอร่อยจริงๆ

เสน่ห์ของผักแขยงอยู่ที่การชูยอดอวดใบอ่อนและดอกสวยภายใต้ร่มเงาของกอข้าวสีเขียวในทุ่งนา จัดเป็นพืชล้มลุกปีเดียว พอฝนมากอข้าวเติบโต ผักแขยงก็เติบใหญ่ใบงามพอแก่ดอกสีม่วงสวยจับตาอวดความสวยอยู่กลางนา คนสมัยก่อนมักเก็บยอดอ่อนหรือต้นอ่อนมาตากแดดให้แห้งแล้วห่อใส่ถุงเก็บไว้กินนอกฤดูกาล ส่วนมากก็มักใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหาร แต่ปัจจุบันมีการปลูกขายทั่วประเทศและยังส่งออกไปขายแถวยุโรปด้วย ไม่ต้องรอหน้านาก็มีผักแขยงกินทั้งปี

นอกจากเป็นผักชูรสชูกลิ่นแล้ว ยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ ในตำรายาไทยกล่าวว่าผักแขยงรสเผ็ดร้อน หอมฉุน สรรพคุณขับน้ำนม ระบายท้อง แก้ไข้ ช่วยขับลม ช่วยเจริญอาหาร ประสะน้ำนม ฆ่าเชื้อโรค เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้า ใช้รักษาอาการไข้ จะนำต้นสดทั้งต้นล้างให้สะอาดมาต้มกินกับน้ำ ใช้ประมาณ 15-30 กรัม ดื่ม ถ้า ใช้รักษาอาการคัน กลาก ฝี จะใช้ต้นสดต้มกับน้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำทา และอีกวิธีหนึ่งคือตำพอกบริเวณที่มีอาการ

ใช้ แก้พิษงู นำต้นสดๆ ประมาณ 15 กรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับต้นฟ้าทะลายโจรสดเหมือนกันขนาด 30 กรัม แล้วเอาไปผสมกับน้ำส้มปริมาณพอควร คั้นแล้วดื่มน้ำ ส่วนกากนั้นเอาพอกรอบๆ แผลไม่ปิดทับปากแผล น้ำคั้นจากต้นยังเป็นยาขับลม ยาขับน้ำนม และเป็นยาระบาย  ชาวอีสานมีข้อห้ามว่าหญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะจะเกิดอาการแสดงหรือผิดสำแดงได้

ประโยชน์อื่นๆ เกษตรกรนำไปใช้ในการไล่แมลง มีการวิจัยของผักแขยงเพื่อนำไปใช้ทางการเกษตร พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้มีกลิ่นคล้ายน้ำมันสน และสารสกัดด้วยไอน้ำสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มักพบการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารและนม เนื้อสัตว์และไข่ไก่ ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ

จากหนังสือผักพื้นบ้านอีสาน ของสำนักพิมพ์โป๊ยเซียน บันทึกว่าชาวอีสานชอบกินผักแขยงสดๆ กับน้ำพริกปลาร้า เวลาเก็บจะใช้มีดตัดให้เหลือแต่ส่วนโคนต้นที่อยู่ในดิน เพื่อให้มันแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ หมอยาพื้นบ้านแนะว่ากินผักแขยงป้องกันเส้นเลือดตีบตันและไข้ร้อนใน และกินแบบสดๆ นี้ยังช่วยดับกลิ่นตัวกลิ่นเหม็นเต่าได้ด้วย มีเรื่องเล่ากันว่าคนกินผักแขยงสดๆ ก่อนนอนผีพ่อม่ายหรือผีแม่ม่ายไม่กล้ามาเอาไปเป็นผัวเมีย (ป้องกันโรคใหลตาย อันเชื่อว่าผีแม่ม่ายมาเอาไปอยู่ด้วยได้ ซึ่งมักเกิดกับหนุ่มชาวอีสานเสียด้วย)

นอกชายคาสายฝนกำลังตกอย่างพร่างพรู ภายใต้ชายคาที่หลบฝนแว่วเสียงเพลง........
หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ
เขียดโม่ เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน.
หมู่หญ้าตีนกับแก ถูกฝนแลเขียวตระการ ควายทุยเสร็จจากงาน เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา
รุ่งแจ้งพอพุ่มพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา เร่งรุดไถฮุดนา รีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน.
อีสานบ้านของเฮา อาชีพเก่าแต่นานดล เอาหน้าสู้ฟ้าฝน เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา..

..ม่วน..เอ๊ย..โอ...ม่วนเอยม่วนเสียงกบ ร้องอ๊บๆ กล่อมลำเนา..
บทเพลง ที่กระตุ้นสำนึกให้รำลึกถึงบ้านหลังเขาบนที่ราบสูง พร้อมๆ กับได้กลิ่นของผักแขยงที่ลอยเอื้อยอ่อยมากับละอองฝนเย็นฉ่ำ

สีฟันคนทา สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อช่องปากและฟัน  บ้านใครปลูกสีฟันคนทา คนทาไว้ลองนำมาทำยารักษาแผลในปากและยาสีฟันไว้ใช้กัน

ทำยารักษาแผลในปาก เอาเนื้อไม้คนทา 30 กรัม น้ำสะอาด 500 ซีซี นำไปต้มให้เดือดรอจนน้ำงวดจะได้น้ำยาเข้มข้น แล้วเติมสารส้มสะตุ 10 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากันจนละลาย ให้กรองเอาแต่น้ำยา พักไว้

วิธีผสมยารักษาแผลในปาก เอาน้ำสีฟันคนทาที่พักไว้ ผสมกับกลีเซอรีน อัตราส่วน น้ำยา 1 ช้อนชาต่อกลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน จะได้ยาแต้มรักษาแผลในปาก ใช้ได้บ่อยตามที่ต้องการจนแผลหาย

การทำยาสีฟัน ให้เตรียมผงโซเดียมคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ สารส้มสะตุ 1 1/2 ช้อนชา น้ำมันกานพลู 1 1/2 ช้อนชา ผงเปลือกหอย (แคลเซียม) 2 ช้อนชา นำทุกอย่างผสมกันคนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำต้มคนทา 1 ช้อนชา กลีเซอรีน 1 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จะได้เนื้อยาสีฟัน ใช้แปรงฟันทุกวันช่วยให้ฟันทนแข็งแรงไม่ปวดฟัน

ต้มส้มผักแขยง 

ต้มส้มผักแขยง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารพื้นบ้านของภาคอีสาน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ  แต่ก่อนผักแขยงคงหาทานได้เฉพาะทางภาคอีสาน แต่ทุกวันนี้ผักแขยงเป็นผักขึ้นห้าง ถ้าจะวัดว่าห้างไหนใหญ่จริงก็คงต้องดูว่าห้างนั้นมีผักแขยงขายหรือเปล่า 555 อันนี้ล้อเล่น แต่เดี๋ยวนี้ผักแขยงมีขายในห้างแล้วจริงๆ เป็นดัชนีผู้บริโภคบ่งชี้ได้ว่าเดี๋ยวนี้พี่น้องชาวอีสานได้ไปทำมาหากินต่างถิ่นต่างแดนมาก แต่คงไม่มีที่ไหนจะให้ความสุขเท่าบ้านเราเอง เข้าเมืองกรุงได้เงินง่ายได้ตังค์เยอะก็ไม่ค่อยเหลือเพราะทุกอย่างต้องซื้อต้องจ่าย ตรงกันข้ามที่บ้านกว่าจะได้เงินมันไม่ง่ายแต่แทบไม่มีรายจ่าย แล้วมันต่างกันตรงไหน เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนมีความสุขก็ทำกันต่อไป 

ถ้าไปเที่ยวปาย แม่ฮ่องสอน คิดฮอดอยากกินอาหารอีสานบ้านเฮาอย่างต้มส้มผักแขยง ก็ไปทานกันได้ที่ร้านอาหารครัวระเบียงปายเด้อครับ ต้องขออภัยถ้าใช้สำเนียงผิดพลาดเพราะผมเป็นเด็กใต้อยู่สุราษฎร์ ฟังคำอีสานพอได้นิดหน่อย ส่วนพูดไม่ได้เลย  แต่ถ้าให้พูดใต้ละก็ สบม.555 บ่อยครั้งเชฟสุรินทร์พูดภาษาปักษ์ใต้กับผม แต่แล้วก็ฟังผมไม่รู้เรื่องว่าผมพูดอะไร คงเป็นเพราะห่างใต้มานานมากและชินกับภาษาหลากหลายวัฒนธรรม  หลากหลายอย่างไร เวลาไปทานที่ร้านครัวระเบียงปายถ้าเชฟว่างๆ ก็ลองเชิญมาคุยดู เชฟเป็นกันเองน่ารักมาก  เอ๊ะเขียนไปชักเลอะอีกแล้ว เอาเป็นว่ากลับมาเข้าเรื่องทำ ต้มส้มผักแขยง กันดีกว่า 

ส่วนประกอบและวิธีทำ ต้มส้มผักแขยง

1 ปลาคังหั่นเป็นท่อนประมาณ 2 ขีด 3 ชิ้น หรือปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ 6 ขีด ทำความสะอาดก่อนแล้วลวกด้วยน้ำเดือดจัด เพื่อล้างคาว
2 ตำเครื่องมี พริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ , กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ , เกลือ 1 ช้อนชา , ขมิ้นทุบ 1 แง่ง ทุกอย่างตำพอแหลก
3 น้ำซุป 4 ถ้วยตวงใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ใส่พริกแกงลงไป เดือดแล้วใส่ปลาลงไป รอน้ำเดือดใส่เครื่องปรุงมี หอมแดงหั่นลูกเต๋า 1 หัว , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ , ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ , ผักแขยง หั่นเป็นท่อน 1 ขีด , ต้นหอมตัดเป็นท่อน 3 ต้น ใบโหระพา 2-3 ช่อ รอซักครู่พอน้ำเดือดอีกครั้ง ปิดไฟยกลงจากเตา ชิมดูจะออก เปรี้ยวนำ เผ็ดตาม  หวานและเค็มนิดหน่อย

เทคนิคการทำต้มส้มผักแขยง

1  การลวกปลาก่อนนำไปปรุงอาหารจริงเพื่อล้างกลิ่นคาวปลาออกไป และไม่ให้เนื้อปลาหดตัวมาก เวลาโดนความร้อนนานๆ
2 เทคนิคในการใส่เครื่องปรุงหรือผักลงในต้มส้มหรือแกงอื่นๆก็ตาม ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนที่จะใส่ขั้นตอนต่อไป 

http://www.ryt9.com/s/tpd/953625

http://paicooker.blogspot.com/2012/06/blog-post_4726.html

หอมกลิ่นผักแขยงรสหอมร้อนแรงต้านมะเร็ง

ผักแขยง ฟังแค่ชื่อก็ไม่ค่อยไม่น่าภิรมย์ รู้สึกแขยงอย่างไรไม่รู้ แล้วยังเรียกว่าผักอีก มันจะกินได้ไหมนี่!แต่ถ้าใครได้รู้จักผักนี้ก็ต้องบอกว่ามันกินได้จริง แต่ไม่ใช่ผักที่นิยมนำมากินได้กินดีกินทุกวันเหมือนผักอื่นๆ ที่สำคัญความเฉพาะของผักนี้อยู่ที่กลิ่น มีกลิ่นหอมฉุนมาก เพราะมีน้ำมันหอมระเหย คนที่ไม่ชื่นชอบผักประเภทกลิ่นฉุนร้อนแรงก็ต้องเบือนหน้าหนี บ้างก็บอกว่าเหม็น

ผักแขยงจะมีกลิ่นแรง ซึ่งทำให้ผักนี้มีกลิ่นเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง และรสเผ็ดร้อน ช่วยดับกลิ่นคาวและชูรสชาติ กลิ่นหอมฉุนนั้นมาจากน้ำมันหอมระเหยในผักซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านการเจริญของเชื้อโรค จัดเป็นผักพื้นบ้านในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยในการต้านมะเร็ง ชาวอีสานและชาวเหนือกินผักแขยงกันมากในรูปของผักเหนาะจิ้มน้ำพริก ลาบ ลู่ แกงอ่อม ที่บ้านแม่จะใส่ในแกงหน่อไม้หรือแกงเปรอะ รสชาติอร่อยจริงๆ

เสน่ห์ของผักแขยงอยู่ที่การชูยอดอวดใบอ่อนและดอกสวยภายใต้ร่มเงาของกอข้าวสีเขียวในทุ่งนา จัดเป็นพืชล้มลุกปีเดียว พอฝนมากอข้าวเติบโต ผักแขยงก็เติบใหญ่ใบงามพอแก่ดอกสีม่วงสวยจับตาอวดความสวยอยู่กลางนา คนสมัยก่อนมักเก็บยอดอ่อนหรือต้นอ่อนมาตากแดดให้แห้งแล้วห่อใส่ถุงเก็บไว้กินนอกฤดูกาล ส่วนมากก็มักใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหาร แต่ปัจจุบันมีการปลูกขายทั่วประเทศและยังส่งออกไปขายแถวยุโรปด้วย ไม่ต้องรอหน้านาก็มีผักแขยงกินทั้งปี

นอกจากเป็นผักชูรสชูกลิ่นแล้ว ยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ ในตำรายาไทยกล่าวว่าผักแขยงรสเผ็ดร้อน หอมฉุน สรรพคุณขับน้ำนม ระบายท้อง แก้ไข้ ช่วยขับลม ช่วยเจริญอาหาร ประสะน้ำนม ฆ่าเชื้อโรค เป็นยาระบายอ่อนๆ ถ้า ใช้รักษาอาการไข้ จะนำต้นสดทั้งต้นล้างให้สะอาดมาต้มกินกับน้ำ ใช้ประมาณ 15-30 กรัม ดื่ม ถ้า ใช้รักษาอาการคัน กลาก ฝี จะใช้ต้นสดต้มกับน้ำชะล้าง หรือคั้นเอาน้ำทา และอีกวิธีหนึ่งคือตำพอกบริเวณที่มีอาการ

ใช้ แก้พิษงู นำต้นสดๆ ประมาณ 15 กรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับต้นฟ้าทะลายโจรสดเหมือนกันขนาด 30 กรัม แล้วเอาไปผสมกับน้ำส้มปริมาณพอควร คั้นแล้วดื่มน้ำ ส่วนกากนั้นเอาพอกรอบๆ แผลไม่ปิดทับปากแผล น้ำคั้นจากต้นยังเป็นยาขับลม ยาขับน้ำนม และเป็นยาระบาย ชาวอีสานมีข้อห้ามว่าหญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะจะเกิดอาการแสดงหรือผิดสำแดงได้

ประโยชน์อื่นๆ เกษตรกรนำไปใช้ในการไล่แมลง มีการวิจัยของผักแขยงเพื่อนำไปใช้ทางการเกษตร พบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้มีกลิ่นคล้ายน้ำมันสน และสารสกัดด้วยไอน้ำสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มักพบการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารและนม เนื้อสัตว์และไข่ไก่ ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ

จากหนังสือผักพื้นบ้านอีสาน ของสำนักพิมพ์โป๊ยเซียน บันทึกว่าชาวอีสานชอบกินผักแขยงสดๆ กับน้ำพริกปลาร้า เวลาเก็บจะใช้มีดตัดให้เหลือแต่ส่วนโคนต้นที่อยู่ในดิน เพื่อให้มันแตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ หมอยาพื้นบ้านแนะว่ากินผักแขยงป้องกันเส้นเลือดตีบตันและไข้ร้อนใน และกินแบบสดๆ นี้ยังช่วยดับกลิ่นตัวกลิ่นเหม็นเต่าได้ด้วย มีเรื่องเล่ากันว่าคนกินผักแขยงสดๆ ก่อนนอนผีพ่อม่ายหรือผีแม่ม่ายไม่กล้ามาเอาไปเป็นผัวเมีย (ป้องกันโรคใหลตาย อันเชื่อว่าผีแม่ม่ายมาเอาไปอยู่ด้วยได้ ซึ่งมักเกิดกับหนุ่มชาวอีสานเสียด้วย)

นอกชายคาสายฝนกำลังตกอย่างพร่างพรู ภายใต้ชายคาที่หลบฝนแว่วเสียงเพลง........
หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ
เขียดโม่ เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน.
หมู่หญ้าตีนกับแก ถูกฝนแลเขียวตระการ ควายทุยเสร็จจากงาน เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา
รุ่งแจ้งพอพุ่มพู ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา เร่งรุดไถฮุดนา รีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน.
อีสานบ้านของเฮา อาชีพเก่าแต่นานดล เอาหน้าสู้ฟ้าฝน เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา..

..ม่วน..เอ๊ย..โอ...ม่วนเอยม่วนเสียงกบ ร้องอ๊บๆ กล่อมลำเนา..
บทเพลง ที่กระตุ้นสำนึกให้รำลึกถึงบ้านหลังเขาบนที่ราบสูง พร้อมๆ กับได้กลิ่นของผักแขยงที่ลอยเอื้อยอ่อยมากับละอองฝนเย็นฉ่ำ

สีฟันคนทา สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อช่องปากและฟัน บ้านใครปลูกสีฟันคนทา คนทาไว้ลองนำมาทำยารักษาแผลในปากและยาสีฟันไว้ใช้กัน

ทำยารักษาแผลในปาก เอาเนื้อไม้คนทา 30 กรัม น้ำสะอาด 500 ซีซี นำไปต้มให้เดือดรอจนน้ำงวดจะได้น้ำยาเข้มข้น แล้วเติมสารส้มสะตุ 10 กรัม เกลือ 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากันจนละลาย ให้กรองเอาแต่น้ำยา พักไว้

วิธีผสมยารักษาแผลในปาก เอาน้ำสีฟันคนทาที่พักไว้ ผสมกับกลีเซอรีน อัตราส่วน น้ำยา 1 ช้อนชาต่อกลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนให้เข้ากัน จะได้ยาแต้มรักษาแผลในปาก ใช้ได้บ่อยตามที่ต้องการจนแผลหาย

การทำยาสีฟัน ให้เตรียมผงโซเดียมคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ สารส้มสะตุ 1 1/2 ช้อนชา น้ำมันกานพลู 1 1/2 ช้อนชา ผงเปลือกหอย (แคลเซียม) 2 ช้อนชา นำทุกอย่างผสมกันคนให้เข้ากันแล้วเติมน้ำต้มคนทา 1 ช้อนชา กลีเซอรีน 1 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จะได้เนื้อยาสีฟัน ใช้แปรงฟันทุกวันช่วยให้ฟันทนแข็งแรงไม่ปวดฟัน

ต้มส้มผักแขยง

ต้มส้มผักแขยง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารพื้นบ้านของภาคอีสาน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ก่อนผักแขยงคงหาทานได้เฉพาะทางภาคอีสาน แต่ทุกวันนี้ผักแขยงเป็นผักขึ้นห้าง ถ้าจะวัดว่าห้างไหนใหญ่จริงก็คงต้องดูว่าห้างนั้นมีผักแขยงขายหรือเปล่า 555 อันนี้ล้อเล่น แต่เดี๋ยวนี้ผักแขยงมีขายในห้างแล้วจริงๆ เป็นดัชนีผู้บริโภคบ่งชี้ได้ว่าเดี๋ยวนี้พี่น้องชาวอีสานได้ไปทำมาหากินต่างถิ่นต่างแดนมาก แต่คงไม่มีที่ไหนจะให้ความสุขเท่าบ้านเราเอง เข้าเมืองกรุงได้เงินง่ายได้ตังค์เยอะก็ไม่ค่อยเหลือเพราะทุกอย่างต้องซื้อต้องจ่าย ตรงกันข้ามที่บ้านกว่าจะได้เงินมันไม่ง่ายแต่แทบไม่มีรายจ่าย แล้วมันต่างกันตรงไหน เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนมีความสุขก็ทำกันต่อไป

ถ้าไปเที่ยวปาย แม่ฮ่องสอน คิดฮอดอยากกินอาหารอีสานบ้านเฮาอย่างต้มส้มผักแขยง ก็ไปทานกันได้ที่ร้านอาหารครัวระเบียงปายเด้อครับ ต้องขออภัยถ้าใช้สำเนียงผิดพลาดเพราะผมเป็นเด็กใต้อยู่สุราษฎร์ ฟังคำอีสานพอได้นิดหน่อย ส่วนพูดไม่ได้เลย แต่ถ้าให้พูดใต้ละก็ สบม.555 บ่อยครั้งเชฟสุรินทร์พูดภาษาปักษ์ใต้กับผม แต่แล้วก็ฟังผมไม่รู้เรื่องว่าผมพูดอะไร คงเป็นเพราะห่างใต้มานานมากและชินกับภาษาหลากหลายวัฒนธรรม หลากหลายอย่างไร เวลาไปทานที่ร้านครัวระเบียงปายถ้าเชฟว่างๆ ก็ลองเชิญมาคุยดู เชฟเป็นกันเองน่ารักมาก เอ๊ะเขียนไปชักเลอะอีกแล้ว เอาเป็นว่ากลับมาเข้าเรื่องทำ ต้มส้มผักแขยง กันดีกว่า

ส่วนประกอบและวิธีทำ ต้มส้มผักแขยง

1 ปลาคังหั่นเป็นท่อนประมาณ 2 ขีด 3 ชิ้น หรือปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ 6 ขีด ทำความสะอาดก่อนแล้วลวกด้วยน้ำเดือดจัด เพื่อล้างคาว
2 ตำเครื่องมี พริกขี้หนู 1 ช้อนโต๊ะ , กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ , เกลือ 1 ช้อนชา , ขมิ้นทุบ 1 แง่ง ทุกอย่างตำพอแหลก
3 น้ำซุป 4 ถ้วยตวงใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ใส่พริกแกงลงไป เดือดแล้วใส่ปลาลงไป รอน้ำเดือดใส่เครื่องปรุงมี หอมแดงหั่นลูกเต๋า 1 หัว , น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ , ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ , ผักแขยง หั่นเป็นท่อน 1 ขีด , ต้นหอมตัดเป็นท่อน 3 ต้น ใบโหระพา 2-3 ช่อ รอซักครู่พอน้ำเดือดอีกครั้ง ปิดไฟยกลงจากเตา ชิมดูจะออก เปรี้ยวนำ เผ็ดตาม หวานและเค็มนิดหน่อย

เทคนิคการทำต้มส้มผักแขยง

1 การลวกปลาก่อนนำไปปรุงอาหารจริงเพื่อล้างกลิ่นคาวปลาออกไป และไม่ให้เนื้อปลาหดตัวมาก เวลาโดนความร้อนนานๆ
2 เทคนิคในการใส่เครื่องปรุงหรือผักลงในต้มส้มหรือแกงอื่นๆก็ตาม ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนที่จะใส่ขั้นตอนต่อไป 

ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน

ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน

รูปภาพ : ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน 

ความจริงที่ว่าผักดีต่อสุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด ข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย หรือกังวล สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ไว้หลีกเลี่ยงผักบางชนิดได้ทัน 
ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์
มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์
ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง 

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์
กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน 

อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ http://www.never-age.com

ความรู้เรื่องน้ำตาลในผักของคนเป็นเบาหวาน 

ความจริงที่ว่าผักดีต่อสุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด ข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย หรือกังวล สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ไว้หลีกเลี่ยงผักบางชนิดได้ทัน
ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์
มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์
ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์
กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน

อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง

การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง

รูปภาพ : การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง

กินเผ็ดก็คือกินอาหารที่ใส่ พริกลงไปมากๆ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ตอบไว้ว่า ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขคือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการเจ็บปวด บรร เทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล 

ทั้งนี้จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิ ในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก 

ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริกยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน 

นอกจากนี้วิตามินซีในพริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว ยังใช้ทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดจะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริกไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารน่าจะมาจากการกิน อาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัดอาจทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นกรดจะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซินจะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด 

ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือไอศกรีม ซึ่งก็ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่างๆ ที่ใส่กะทิ

โทษจากการกินเผ็ด หรือภัยจากการกินเผ็ด รสเผ็ดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ 

และสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระวังไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไปเพราะอาจเกิดหัวใจวายได้ ยังมีโรคทางกระเพาะอาหาร เมื่อกินอาหารรสจัด (เผ็ด) เข้าไป จะเกิดกรดในกระเพาะ 

ถ้ากรดมากก็จะทำให้ท้องอืด แสบท้อง ปวดท้อง เวลาถ่ายก็แสบไปด้วย และมีโรคอ้วน เพราะรสเผ็ดช่วยให้เจริญอาหารดี ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังมีอาการแสบร้อน เพราะพริกมีสารแคปไซซินซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายของเรา ถ้าละอองพริกเข้าดวงตา หรือสัมผัสกับร่างกาย อาจทำให้แสบตา หรือแสบร้อนบริเวณที่โดนพริก 

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัดจะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร 

ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakk1TURVMU5nPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE15MHdOUzB5T1E9PQ==

การกินเผ็ดมีประโยชน์และโทษอย่างไรบ้าง
กินเผ็ดก็คือกินอาหารที่ใส่ พริกลงไปมากๆ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ตอบไว้ว่า ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขคือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการเจ็บปวด บรร เทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเลสเตอรอล

ทั้งนี้จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิ ในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก

ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริกยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน

นอกจากนี้วิตามินซีในพริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว ยังใช้ทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดจะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริกไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารน่าจะมาจากการกิน อาหารมันๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัดอาจทำให้เกิดอาการเหมือนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารแคปไซซินในพริกซึ่งเป็นกรดจะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่ กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซินจะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด

ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือไอศกรีม ซึ่งก็ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่างๆ ที่ใส่กะทิ

โทษจากการกินเผ็ด หรือภัยจากการกินเผ็ด รสเผ็ดจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานมากขึ้น มีผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

และสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ ต้องระวังไม่ให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไปเพราะอาจเกิดหัวใจวายได้ ยังมีโรคทางกระเพาะอาหาร เมื่อกินอาหารรสจัด (เผ็ด) เข้าไป จะเกิดกรดในกระเพาะ

ถ้ากรดมากก็จะทำให้ท้องอืด แสบท้อง ปวดท้อง เวลาถ่ายก็แสบไปด้วย และมีโรคอ้วน เพราะรสเผ็ดช่วยให้เจริญอาหารดี ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

นอกจากนี้ยังมีอาการแสบร้อน เพราะพริกมีสารแคปไซซินซึ่งทำปฏิกิริยากับร่างกายของเรา ถ้าละอองพริกเข้าดวงตา หรือสัมผัสกับร่างกาย อาจทำให้แสบตา หรือแสบร้อนบริเวณที่โดนพริก

ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัดจะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร

ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

รูปภาพ : มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม  ตุ่มตัง  กะทันตาเถร (ปัตตานี)  มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)

ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย

มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น  

•เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้  

•ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี        

•ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี       

•ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก
 
การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย

น้ำมะตูม

ส่วนผสม
- มะตูมแห้ง 8 กรัม( 2ชิ้น )
- น้ำตาลทราย 15 กรัม( 1 ช้อนคาว )
- น้ำเปล่า 240 กรัม( 16 ช้อนคาง )

วิธีทำ

นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อเติมน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวสักครู่ ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลายชิมรสตามชอบ ยกลง

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา :  เป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดีและเจริญอาหาร ขับเสมหะแก้อาการร้อนในใด้ดี

http://herbal.muasua.com/tag/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B8%A1

มะตูม สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สมุนไพรเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านศึกษาอย่างชาญฉลาด จนนำไปสู่การปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพกาย-ใจ อย่าง น้ำมะตูม เครื่องดื่มประจำครอบครัวของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณประโยชน์ทางอาหารมากมาย จึงถือได้ว่า มะตูม เป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้ และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

มะตูมเป็นไม้ยืนต้น โดยมีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างและใช้เรียกกันแตกต่างไป เช่น ตูม ตุ่มตัง กะทันตาเถร (ปัตตานี) มะปิน (เหนือ) บักตูม หมากตูม (อีสาน)

ลักษณะของมะตูม ผล มีผิวเกลี้ยง เปลือก หนาและแข็ง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง ในผลมะตูมมีเมล็ดตรงกลางเป็นพู มียางเหนียวใส นำมาใช้เป็นกาวจากธรรมชาติได้ เนื้อมะตูมมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เวลานำมาต้มเป็นชาจะมีกลิ่นหอมมาก เวลาสุกเนื้อจะนิ่มเป็นสีเหลืองหอมและมีรสหวานด้วย

มะตูมที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน ส่วนมากจะอยู่ในรูปของมะตูมแห้งเป็นแว่นที่มีขายตามร้านยาแผนโบราณ, ร้านขายสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่รักและห่วงใยสุขภาพเท่านั้น ซึ่งนิยมนำมะตูมแว่นมาต้มเป็นน้ำมะตูมที่มีกลิ่นหอม สำหรับดื่มให้ชื่นใจ แก้กระหายน้ำ แถมยังให้คุณค่าอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น

•เปลือกของรากและลำต้นของมะตูม สามารถลดไข้ และใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมในลำไส้

•ราก แก้พิษฝี พิษไข้ รักษาน้ำดี

•ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ให้เอาใบมะตูมดิบๆ มาคั้นเอาน้ำเพื่อดื่ม ช่วยบรรเทาอาการไอและเสมหะเรื้อรังลงได้มี

•ผลมะตูม ผลอ่อนที่มีสีเขียว ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขับลมในท้อง ผลแก่แก้เสมหะ ช่วยย่อยอาหาร และยังสามารถเอาผลสุกมาชงดื่มเป็นยาแก้ร้อนใน หรือ เอามะตูมตากแห้งมาต้มเป็นชาสมุนไพรก็จะได้ผล็อย่างเดียวกัน นอกจากนี้ ผลดิบแห้งยังใช้แก้บิด และแก้ท้องเสียในเด็กได้ด้วย ส่วนผลสุกนั้นกลับเป็นยาระบาย ช่วยย่อยอาหารได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก

การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย

น้ำมะตูม

ส่วนผสม
- มะตูมแห้ง 8 กรัม( 2ชิ้น )
- น้ำตาลทราย 15 กรัม( 1 ช้อนคาว )
- น้ำเปล่า 240 กรัม( 16 ช้อนคาง )

วิธีทำ

นำมะตูมแห้งมาล้างให้สะอาด ปิ้งไฟให้หอม นำไปใส่หม้อเติมน้ำ ตั้งไฟเคี่ยวสักครู่ ยกลงกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายตั้งไฟให้ละลายชิมรสตามชอบ ยกลง

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางยา : เป็นยาระบาย ขับลม ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ทำให้ขับถ่ายดีและเจริญอาหาร ขับเสมหะแก้อาการร้อนในใด้ดี

5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

รูปภาพ : 5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วร่างกายของเรานั้นสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อันเป็นที่มาของความอ้วนและโรคต่าง ๆ อย่างหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายได้ในที่สุด
แล้วรู้อีกไหมว่า อาหารบางประเภทนั้นธรรมชาติเขาสร้างมาเพื่อช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เรียกว่าเป็นอัศวินที่ธรรมชาติส่งมาช่วยมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น) ซึ่งพืชผักเหล่านี้มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน ไปทำความรู้จักกับอัศวินพิชิตอ้วนกันดีกว่าครับ

•มะเขือ
ในมะเขือทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ ล้วนมีสารอาหารที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่าง วิตามินพี หรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ดังนั้น การรับประทานมะเขือทั้งหลายเข้าไปจึงช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันและคอเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในแกงกะทิทั้งหลายจึงมักมีมะเขือเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย อย่างนี้แล้วเมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันมาก ๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเข้าไปด้วย เพราะนอกจากทำให้ไม่อ้วนแล้ว มะเขือยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันผนังเส้นเลือดแข็งตัว และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติอีกด้วยครับ

•ถั่วเหลือง
อัศวินคนที่สองผู้นี้อุดมไปด้วยโปรตีน เส้นใย วิตามินบี 1 บี 6 และบี 12 กรดโฟลิก คลอไรด์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมันไม่อิ่มตัว (ไขมันดีสำหรับร่างกาย) และที่สำคัญที่สุดคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานเมล็ดถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ฯลฯ รับรองว่าไม่อ้วน ทั้งยังชะลอความแก่และป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

•หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่นั้นเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดความอ้วน ทั้งนี้เพราะหอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่ช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันน้ำตาลในเลือด และบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ธาตุเดินไม่ปกติได้อีกด้วย ดังนั้นในเมนูไข่ทั้งหลายที่เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลจึงควรใส่หอมหัวใหญ่ลงไป แล้วถ้าใครไม่ชอบรับประทานหอมหัวใหญ่ เพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรง รสฝาด ขอแนะนำว่าให้ปรุงให้สุกเสียก่อน แล้วหอมหัวใหญ่จะมีรสหวานอร่อยมาก ทางที่ดีควรรับประทานหอมหัวใหญ่ให้ได้ทุกวัน วันละ 3 – 4 หัว โดยสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มหรือนึ่ง อาจเหยาะเกลือเพิ่มรสชาติเล็กน้อยก็ได้

•กระเทียม
แม้ว่าคุณสมบัติหลัก ๆ ของกระเทียมจะช่วยสร้างระบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือถ้าทานสด ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ด้วยก็ตาม แต่กระเทียมยังช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้อีกด้วย เพราะการรับประทานกระเทียมจะทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ดังนั้นในอาหารคาวจานต่าง ๆ จึงควรใส่กระเทียมสดเข้าไปด้วย รับรองว่าเห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่คุณสมบัติคับแก้วมากครับ

•แอปเปิล
ถ้าคุณหิวจนตาลายแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร แอปเปิลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ดี เพราะแอปเปิลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75% ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกินสิบนาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิดอ่อนเพลียระหว่างก่อนเวลารับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ นอกจากนี้ในแอปเปิลยังมีสารอาหารจำพวกวิตามินซี บี 6 ธาตุเหล็ก ทองแดง และโพแทสเซียม ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมานและควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

เมื่อรู้จักกับพืชผักพิชิตอ้วนทั้ง 5 ไปแล้ว เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงนั้นก็ควรรับประทานอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย โดยเลือกทานได้ตามความเหมาะสม เช่น ทานแอปเปิลก่อนรับประทานอาหารมื้อหลัก ใส่หอมหัวใหญ่ในไข่เจียว ใส่มะเขือทั้งหลายในแกงกะทิ มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบหลักในอาหาร คุณอาจรับประทานน้ำนมถั่วเหลืองทุกเช้าหรือเวลาหิว รับรองว่าถ้าทำได้เป็นนิสัยแล้วสุขภาพคุณจะแข็งแรงและไม่มีปัญหากับความอ้วนอีกเลยครับ

http://www.samunpri.com/?p=4605

5 พืชผัก-ผลไม้พิชิตความอ้วน

รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วร่างกายของเรานั้นสามารถสร้างคอลลาเจนได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย อันเป็นที่มาของความอ้วนและโรคต่าง ๆ อย่างหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายได้ในที่สุด
แล้วรู้อีกไหมว่า อาหารบางประเภทนั้นธรรมชาติเขาสร้างมาเพื่อช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เรียกว่าเป็นอัศวินที่ธรรมชาติส่งมาช่วยมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น) ซึ่งพืชผักเหล่านี้มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน ไปทำความรู้จักกับอัศวินพิชิตอ้วนกันดีกว่าครับ

•มะเขือ
ในมะเขือทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ ล้วนมีสารอาหารที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่าง วิตามินพี หรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ และโพแทสเซียม ดังนั้น การรับประทานมะเขือทั้งหลายเข้าไปจึงช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันและคอเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในแกงกะทิทั้งหลายจึงมักมีมะเขือเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย อย่างนี้แล้วเมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันมาก ๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเข้าไปด้วย เพราะนอกจากทำให้ไม่อ้วนแล้ว มะเขือยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันผนังเส้นเลือดแข็งตัว และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติอีกด้วยครับ

•ถั่วเหลือง
อัศวินคนที่สองผู้นี้อุดมไปด้วยโปรตีน เส้นใย วิตามินบี 1 บี 6 และบี 12 กรดโฟลิก คลอไรด์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมันไม่อิ่มตัว (ไขมันดีสำหรับร่างกาย) และที่สำคัญที่สุดคือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานเมล็ดถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ฯลฯ รับรองว่าไม่อ้วน ทั้งยังชะลอความแก่และป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย

•หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่นั้นเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการลดความอ้วน ทั้งนี้เพราะหอมหัวใหญ่มีคุณสมบัติที่ช่วยเผาผลาญไขมันและลดไขมันได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันน้ำตาลในเลือด และบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ธาตุเดินไม่ปกติได้อีกด้วย ดังนั้นในเมนูไข่ทั้งหลายที่เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลจึงควรใส่หอมหัวใหญ่ลงไป แล้วถ้าใครไม่ชอบรับประทานหอมหัวใหญ่ เพราะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรง รสฝาด ขอแนะนำว่าให้ปรุงให้สุกเสียก่อน แล้วหอมหัวใหญ่จะมีรสหวานอร่อยมาก ทางที่ดีควรรับประทานหอมหัวใหญ่ให้ได้ทุกวัน วันละ 3 – 4 หัว โดยสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มหรือนึ่ง อาจเหยาะเกลือเพิ่มรสชาติเล็กน้อยก็ได้

•กระเทียม
แม้ว่าคุณสมบัติหลัก ๆ ของกระเทียมจะช่วยสร้างระบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือถ้าทานสด ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ด้วยก็ตาม แต่กระเทียมยังช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้อีกด้วย เพราะการรับประทานกระเทียมจะทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ดังนั้นในอาหารคาวจานต่าง ๆ จึงควรใส่กระเทียมสดเข้าไปด้วย รับรองว่าเห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่คุณสมบัติคับแก้วมากครับ

•แอปเปิล
ถ้าคุณหิวจนตาลายแต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร แอปเปิลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ดี เพราะแอปเปิลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75% ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกินสิบนาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิดอ่อนเพลียระหว่างก่อนเวลารับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ นอกจากนี้ในแอปเปิลยังมีสารอาหารจำพวกวิตามินซี บี 6 ธาตุเหล็ก ทองแดง และโพแทสเซียม ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมานและควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

เมื่อรู้จักกับพืชผักพิชิตอ้วนทั้ง 5 ไปแล้ว เวลารับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงนั้นก็ควรรับประทานอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย โดยเลือกทานได้ตามความเหมาะสม เช่น ทานแอปเปิลก่อนรับประทานอาหารมื้อหลัก ใส่หอมหัวใหญ่ในไข่เจียว ใส่มะเขือทั้งหลายในแกงกะทิ มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบหลักในอาหาร คุณอาจรับประทานน้ำนมถั่วเหลืองทุกเช้าหรือเวลาหิว รับรองว่าถ้าทำได้เป็นนิสัยแล้วสุขภาพคุณจะแข็งแรงและไม่มีปัญหากับความอ้วนอีกเลยครับ

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ?

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ?

รูปภาพ : วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ? 

ด้วยวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายต่างมีข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูป มากักตุนไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทีก็ขนซื้อมายกใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่า หมดอายุไปก่อนที่จะทานได้หมด

เป็นเช่นนี้หลายคนที่มักนำอาหารพวกนี้แช่ตู้เย็นไว้ คงเคยสงสัยว่า อาหารที่พ้นวันหมดอายุไปแล้ว แต่กลิ่น รส รูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นนั้น จะยังทานได้หรือไม่ เพราะจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย เช่น ไส้กรอก ขนมปัง...ถ้าต้องการรู้คำตอบ วันนี้ผู้เขียนมีมาบอก แต่ก่อนอื่นขอเล่าสิ่งที่ควรเข้าใจ อย่างเรื่องวันหมดอายุของอาหารกันก่อน

สำหรับการกำหนดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ อย่างที่เราคุ้นตากัน ก็เช่น EXP….(วันหมดอายุ), BBE…(ควรบริโภคก่อน) นั้น ในทางหลักกฏหมายสากล โรงงานผู้ผลิตอาหารจำเป็นจะต้องทำการทดลองจัดเก็บผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตามคำแนะนำสภาพการจัดเก็บที่ได้ระบุไว้บนฉลากตามจริง เช่น เก็บที่อุณหภูมิห้อง, ควรจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศา, หรือจัดเก็บไว้ในสภาวะแช่แข็ง ฯลฯ และในระหว่างการทดลองโรงงานจำเป็นจะต้องสุ่มทำการตรวจเช็ค ทั้งทางด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นระยะๆ จนครบอายุการจัดเก็บที่ได้อ้างไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้านั้นๆ จะยังคงมีคุณภาพและความปลอดภัยจนถึงวันที่หมดอายุลง

ทว่ามีตัวแปรที่สำคัญมาก คอยจะส่งผลให้อาหารเสื่อมเสีย ก็คือ ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหารแต่ละชนิด แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเก็บไว้ตามสภาวะที่ระบุไว้บนฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะสามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันหมดอายุ แต่จากประสบการณ์การตรวจโรงงานผลิตอาหารหลายร้อยแห่ง พบว่า ผู้ผลิตบางรายเคยเจอปัญหาร้องเรียน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสื่อมหรือเสียก่อนวันหมดอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารที่ต้องแช่เย็น หรือแช่แข็ง ทั้งๆ ที่กระบวนการผลิตและการจัดเก็บก็ถูกต้องตามหลักการผลิตที่ดี สาเหตุที่ทำให้เสียเร็วกว่ากำหนด ส่วนใหญ่มักมาจากการขนส่ง และร้านค้าปลีกที่นำไปขายหน้าร้านดูแลจัดเก็บไม่ดี เก็บในอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้

เหตุนี้เอง ที่จะบอกผู้อ่านว่า อาหารประเภทแช่เย็น และแช่แข็งนั้น อุณหภูมิการจัดเก็บมีผลโดยตรงต่อการเจริญและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์จนส่งผลให้อาหารนั้นเสื่อมเสียเร็วกว่าวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้บนฉลาก ในทางกลับกันหากเรานำอาหารแช่เย็นมาแช่แข็งแน่นอนคะว่า อาหารนั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวกว่าที่ได้ระบุไว้บนฉลากเป็นแน่ เพราะอุณหภูมิแช่แข็งจะสามารถชะลอการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของจุลินทรีย์ได้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จาก อาหารแช่แข็งมักมีอายุเป็นปีๆ ส่วนอาหารแช่เย็นมีอายุแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่เมื่อเรานำอาหารแช่เย็นมาเก็บรักษาโดยการแช่แข็งแล้ว เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าแล้วจะหมดอายุอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่ทำการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์

แต่เพื่อความปลอดภัย ยังจำเป็นที่จะต้องสังเกตอาหารหลังละลายน้ำแข็ง ก่อนนำมาปรุงหรือรับประทาน สิ่งที่ต้องสังเกต มีทั้ง

1. ก๊าซในอาหาร : หากอาหารถูกจัดเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด แล้วถุงกลับพองขึ้น นั้นหมายถึง จุลินทรีย์กำลังทานอาหารชนิดนั้น และปลดปล่อยก๊าซออกมา ยิ่งถ้าถุงบวมเป่งแล้ว หรืออาหารกระป๋องที่บวมกว่าปกติแล้ว ไม่ควรเสี่ยงทานเลย

2. กลิ่นของอาหาร : ให้ใช้วิธีดมกลิ่นก่อนที่จะทาน หากกลิ่นผิดเพี้ยนหรือแปลกไปจากกลิ่นปกติ ให้สงสัยว่า อาหารกำลังจะเสื่อมเสีย

3. เมือกตามผิวของอาหาร หรือลักษณะเป็นวุ้นๆ สำหรับอาหารเหลว : ธรรมชาติของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียมักสร้างเมือกขึ้นมาในระหว่างการเจริญ ดังนั้นจะสังเกตว่า อาหารเริ่มเสื่อมเสีย มักมีเมือกลื่นๆเคลือบอยู่ที่ผิวของอาหาร หรือ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นของเหลว ก็ให้สังเกตเนื้อของเหลวนั้นว่ามีการข้นเป็นวุ้นปะปนหรือไม่

4. สี รสชาติ และลักษณะทางกายภาพ : สีของอาหารก็มีส่วนสำคัญ หากสีเปลี่ยนหรือแตกต่างไป รวมถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่เป็นชิ้นๆ ให้สังเกตรา หรือลักษณะแปลกปลอมที่มีในอาหาร หากผิดปกติแนะนำว่าทิ้งดีกว่า

เห็นไหมว่า บางทีวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ตายตัวเสมอไป หากแต่ยังมีปัจจัยในเรื่องการขนส่งและจัดเก็บ โดยเฉพาะอาหารแช่เย็นหรือแช่แข็ง หากซื้อมาแล้วควรรีบนำมาจัดเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลาให้อยู่ในอุณหภูมิปกตินานเท่าใด นั่นแสดงว่า เรากำลังทำให้จุลินทรีย์ที่มีในอาหารนั้นเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ดีเลย

สุดท้าย ผู้เขียนขอฝากไว้อีกสักนิด สำหรับเรื่องวัตถุกันเสียในอาหาร หรือสารกันบูด หากผลิตภัณฑ์อาหารใส่สารดังกล่าวมากเกินไป บางทีผ่านวันหมดอายุแล้ว แต่อาหารนั้นก็ยังไม่แสดงถึงสภาพการเสื่อมเสียใดๆ เพราะวัตถุกันเสียมีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ในอาหาร และวัตถุกันเสียเหล่านี้ยังเป็นอันตรายทางเคมีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้  ทางที่ดีเราควรเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไหนใช้วัตถุกันเสียก็เลี่ยงๆ แล้วกันนะ

http://raja.thaikm4u.com/blog/likesara/1015

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน ? 
ด้วยวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายต่างมีข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูป มากักตุนไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทีก็ขนซื้อมายกใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่า หมดอายุไปก่อนที่จะทานได้หมด

เป็นเช่นนี้หลายคนที่มักนำอาหารพวกนี้แช่ตู้เย็นไว้ คงเคยสงสัยว่า อาหารที่พ้นวันหมดอายุไปแล้ว แต่กลิ่น รส รูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นนั้น จะยังทานได้หรือไม่ เพราะจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย เช่น ไส้กรอก ขนมปัง...ถ้าต้องการรู้คำตอบ วันนี้ผู้เขียนมีมาบอก แต่ก่อนอื่นขอเล่าสิ่งที่ควรเข้าใจ อย่างเรื่องวันหมดอายุของอาหารกันก่อน

สำหรับการกำหนดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ อย่างที่เราคุ้นตากัน ก็เช่น EXP….(วันหมดอายุ), BBE…(ควรบริโภคก่อน) นั้น ในทางหลักกฏหมายสากล โรงงานผู้ผลิตอาหารจำเป็นจะต้องทำการทดลองจัดเก็บผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตามคำแนะนำสภาพการจัดเก็บที่ได้ระบุไว้บนฉลากตามจริง เช่น เก็บที่อุณหภูมิห้อง, ควรจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศา, หรือจัดเก็บไว้ในสภาวะแช่แข็ง ฯลฯ และในระหว่างการทดลองโรงงานจำเป็นจะต้องสุ่มทำการตรวจเช็ค ทั้งทางด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นระยะๆ จนครบอายุการจัดเก็บที่ได้อ้างไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้านั้นๆ จะยังคงมีคุณภาพและความปลอดภัยจนถึงวันที่หมดอายุลง

ทว่ามีตัวแปรที่สำคัญมาก คอยจะส่งผลให้อาหารเสื่อมเสีย ก็คือ ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหารแต่ละชนิด แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเก็บไว้ตามสภาวะที่ระบุไว้บนฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะสามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันหมดอายุ แต่จากประสบการณ์การตรวจโรงงานผลิตอาหารหลายร้อยแห่ง พบว่า ผู้ผลิตบางรายเคยเจอปัญหาร้องเรียน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสื่อมหรือเสียก่อนวันหมดอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารที่ต้องแช่เย็น หรือแช่แข็ง ทั้งๆ ที่กระบวนการผลิตและการจัดเก็บก็ถูกต้องตามหลักการผลิตที่ดี สาเหตุที่ทำให้เสียเร็วกว่ากำหนด ส่วนใหญ่มักมาจากการขนส่ง และร้านค้าปลีกที่นำไปขายหน้าร้านดูแลจัดเก็บไม่ดี เก็บในอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้

เหตุนี้เอง ที่จะบอกผู้อ่านว่า อาหารประเภทแช่เย็น และแช่แข็งนั้น อุณหภูมิการจัดเก็บมีผลโดยตรงต่อการเจริญและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์จนส่งผลให้อาหารนั้นเสื่อมเสียเร็วกว่าวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้บนฉลาก ในทางกลับกันหากเรานำอาหารแช่เย็นมาแช่แข็งแน่นอนคะว่า อาหารนั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวกว่าที่ได้ระบุไว้บนฉลากเป็นแน่ เพราะอุณหภูมิแช่แข็งจะสามารถชะลอการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของจุลินทรีย์ได้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จาก อาหารแช่แข็งมักมีอายุเป็นปีๆ ส่วนอาหารแช่เย็นมีอายุแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่เมื่อเรานำอาหารแช่เย็นมาเก็บรักษาโดยการแช่แข็งแล้ว เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าแล้วจะหมดอายุอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่ทำการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์

แต่เพื่อความปลอดภัย ยังจำเป็นที่จะต้องสังเกตอาหารหลังละลายน้ำแข็ง ก่อนนำมาปรุงหรือรับประทาน สิ่งที่ต้องสังเกต มีทั้ง

1. ก๊าซในอาหาร : หากอาหารถูกจัดเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด แล้วถุงกลับพองขึ้น นั้นหมายถึง จุลินทรีย์กำลังทานอาหารชนิดนั้น และปลดปล่อยก๊าซออกมา ยิ่งถ้าถุงบวมเป่งแล้ว หรืออาหารกระป๋องที่บวมกว่าปกติแล้ว ไม่ควรเสี่ยงทานเลย

2. กลิ่นของอาหาร : ให้ใช้วิธีดมกลิ่นก่อนที่จะทาน หากกลิ่นผิดเพี้ยนหรือแปลกไปจากกลิ่นปกติ ให้สงสัยว่า อาหารกำลังจะเสื่อมเสีย

3. เมือกตามผิวของอาหาร หรือลักษณะเป็นวุ้นๆ สำหรับอาหารเหลว : ธรรมชาติของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียมักสร้างเมือกขึ้นมาในระหว่างการเจริญ ดังนั้นจะสังเกตว่า อาหารเริ่มเสื่อมเสีย มักมีเมือกลื่นๆเคลือบอยู่ที่ผิวของอาหาร หรือ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นของเหลว ก็ให้สังเกตเนื้อของเหลวนั้นว่ามีการข้นเป็นวุ้นปะปนหรือไม่

4. สี รสชาติ และลักษณะทางกายภาพ : สีของอาหารก็มีส่วนสำคัญ หากสีเปลี่ยนหรือแตกต่างไป รวมถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่เป็นชิ้นๆ ให้สังเกตรา หรือลักษณะแปลกปลอมที่มีในอาหาร หากผิดปกติแนะนำว่าทิ้งดีกว่า

เห็นไหมว่า บางทีวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ตายตัวเสมอไป หากแต่ยังมีปัจจัยในเรื่องการขนส่งและจัดเก็บ โดยเฉพาะอาหารแช่เย็นหรือแช่แข็ง หากซื้อมาแล้วควรรีบนำมาจัดเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลาให้อยู่ในอุณหภูมิปกตินานเท่าใด นั่นแสดงว่า เรากำลังทำให้จุลินทรีย์ที่มีในอาหารนั้นเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ดีเลย

สุดท้าย ผู้เขียนขอฝากไว้อีกสักนิด สำหรับเรื่องวัตถุกันเสียในอาหาร หรือสารกันบูด หากผลิตภัณฑ์อาหารใส่สารดังกล่าวมากเกินไป บางทีผ่านวันหมดอายุแล้ว แต่อาหารนั้นก็ยังไม่แสดงถึงสภาพการเสื่อมเสียใดๆ เพราะวัตถุกันเสียมีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ในอาหาร และวัตถุกันเสียเหล่านี้ยังเป็นอันตรายทางเคมีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้ ทางที่ดีเราควรเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไหนใช้วัตถุกันเสียก็เลี่ยงๆ แล้วกันนะ

น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง

น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง

รูปภาพ : น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง 

พอย่างเข้าสู่วัยทองของหญิงทั้งหลาย ก็เป็นวิ่งหาอาหารมาบำรุง อารมณ์ และอาการหงุดหงิดกันให้วุ่นวาย   พอเริ่มอายุเข้า 46 ปี ก็เริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลย  จนคนข้างต้องคอยถามกันบ่อยๆว่าเป็นอะไร ทำไมหงุดหงิดง่ายจัง ไอ้ตัวเรารึก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยกับการโมโหคนที่พูดไม่เข้าหู  แต่เอ...ทำไมคนพูดไม่เข้าหูบ่อยจัง  ก็เลยพยายามที่จะเข้าใจคนที่เขาทักมาว่าเกิดอะไรกับตัวเอง  รึเราจะเริ่มเข้าวัยทอง... จนอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล  ไม่น่าจะร้อนก็ร้อน ร้อนเฉพาะใบหน้าสักพักก็เหงื่อออกเต็มไปหมด  ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อไปหมด บางครั้งแทบจะเดินไม่ได้เลย เอาหล่ะวัยทองแน่แล้วเราจะทำไงดีเนี่ย..  พี่ๆ เพื่อนๆ จึงเริ่มแนะนำอาหารให้รับประทานดับความร้อนในกายและอาการต่างๆ เป็นต้นว่า น้ำเต้าหู้  น้ำงาดำ น้ำมะพร้าวเต้าหู้ ข้าวโพด  เอาหล่ะเรา น้ำเต้าหู้เขาว่าดีนักแลสำหรับคนวัยทอง แต่เราทานได้ไม่เกิน 3 วัน ก็จะทานไม่ลงแล้ว  แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำก็ต้องพยายามที่จะหันมาชอบให้ได้  "น้ำงาตำก็ดีมากๆเลยนะน้อง" พี่ๆก็พยามยามชักชวนเมนูถัดไป เอาสิดีก็ดี ก็ต้องลองหามาทานอีก

  เมื่อจะทานทั้งทีก็ต้องรู้ว่ามันดีอย่างไรบ้าง ถามพี่ที่แนะนำให้ทานนว่ามันดีอย่างไร คำตอบ "เอาเถอะน่าเค้าบอกว่าดีก็ดีน่า.." ก็เลยหันมาค้นคว้าทาง internet ดู ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาพอประมาณ

เมล็ดงาเล็กๆนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ได้แก่ โปรตีนทีมีกรดอะมิโนเมธิโอนีน  ถ้าจะเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองละก็งามีมากกว่า  และในน้ำมันงาที่มีอยู่ในเมล็ดงายังเป็นกรดไขมันฃนิดไม่อิ่มตัวสูง อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 และที่สำคัญยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก ที่จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงาสวย ผิวพรรณชุ่มชื้น หมุ่มสาวคงจะชอบใจกันเป็นแน่

ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ งามีแคลเซียมมากว่านมวัวถึง 6 เท่า มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แมกนีเฃียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเฃียม และทองแดง

มีวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านการเกิดโรงมะเร็ง

มีวิตามินบีหลายชนิดด้วยกัน ที่ทำหน้าที่บำรุงระบบประสาท

แล้วเราจะทานกันแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

ถ้าเป็นวัยหนุ่ม สาว ก็ให้ทานวันละประมาณ 3-4 ช้อน แต่ถ้าเริ่มเข้าวัยทอง ให้ทานกัน 6- 9 ช้อน การจะทานงาให้ได้คุณค่านั้น จะต้องเคี้ยวให้เมล็ดงาแตก หรือคั่วบดก็ได้ ร่างกายจะได้ดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินทั้งหมดได้ ถ้าเราเคี้ยวไม่แตกเมล็ดงาก็จะถูกขับออกมาแบบไม่ได้ประโยชน์

วิธีการคั่วงาให้ได้คุณค่า

 คั่วงาที่ไฟอ่อนๆ อย่าให้ไฟแรงเกินไป คั่วไปสักพักก็ให้ยกกระทะออกแล้วคั่วนอกไฟสักพัก แล้วจึงคั่วต่อที่ไฟจนพอได้กลิ่นหอมงา ยกออกจากไฟลองชิมดูว่างาไม่ขมและกรอบดีแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย  เทงาที่คั่วใส่จานแบบกว้างๆ หรือถาด ผึ่งให้งาหายร้อน จึงนำมาบดด้วยครกหิน หรือเครื่องบดก็ได้แต่ควรจะบดแค่พอเมล็ดงาแตกอย่าบดจนป่นละเอียด เราก็จะก็จะได้งาคั่วบดที่หอม เก็บใส่กระปุกไว้ทานกับอาหารได้หลายประเภท เราควรจะคั่วงาในปริมาณไม่มากนัก เพราะถ้าเราคั่วไว้มากๆ จะทำให้งาไม่หอมและเหม็นหืน

 การคั่วงาด้วยไฟแรงจะทำให้งาไหม้ก่อนที่งาจะสุกหอม  เมื่อคั่วงาเสร็จใหม่ๆแล้วนำมาบดเลยก็จะทำให้งาเป็นน้ำมัน

http://raja.thaikm4u.com/blog/malagay2/398

น้ำเต้าหู้ งาดำ กับหญิงวัยทอง 

พอย่างเข้าสู่วัยทองของหญิงทั้งหลาย ก็เป็นวิ่งหาอาหารมาบำรุง อารมณ์ และอาการหงุดหงิดกันให้วุ่นวาย พอเริ่มอายุเข้า 46 ปี ก็เริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลย จนคนข้างต้องคอยถามกันบ่อยๆว่าเป็นอะไร ทำไมหงุดหงิดง่ายจัง ไอ้ตัวเรารึก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยกับการโมโหคนที่พูดไม่เข้าหู แต่เอ...ทำไมคนพูดไม่เข้าหูบ่อยจัง ก็เลยพยายามที่จะเข้าใจคนที่เขาทักมาว่าเกิดอะไรกับตัวเอง รึเราจะเริ่มเข้าวัยทอง... จนอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล ไม่น่าจะร้อนก็ร้อน ร้อนเฉพาะใบหน้าสักพักก็เหงื่อออกเต็มไปหมด ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อไปหมด บางครั้งแทบจะเดินไม่ได้เลย เอาหล่ะวัยทองแน่แล้วเราจะทำไงดีเนี่ย.. พี่ๆ เพื่อนๆ จึงเริ่มแนะนำอาหารให้รับประทานดับความร้อนในกายและอาการต่างๆ เป็นต้นว่า น้ำเต้าหู้ น้ำงาดำ น้ำมะพร้าวเต้าหู้ ข้าวโพด เอาหล่ะเรา น้ำเต้าหู้เขาว่าดีนักแลสำหรับคนวัยทอง แต่เราทานได้ไม่เกิน 3 วัน ก็จะทานไม่ลงแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำก็ต้องพยายามที่จะหันมาชอบให้ได้ "น้ำงาตำก็ดีมากๆเลยนะน้อง" พี่ๆก็พยามยามชักชวนเมนูถัดไป เอาสิดีก็ดี ก็ต้องลองหามาทานอีก

เมื่อจะทานทั้งทีก็ต้องรู้ว่ามันดีอย่างไรบ้าง ถามพี่ที่แนะนำให้ทานนว่ามันดีอย่างไร คำตอบ "เอาเถอะน่าเค้าบอกว่าดีก็ดีน่า.." ก็เลยหันมาค้นคว้าทาง internet ดู ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมมาพอประมาณ

เมล็ดงาเล็กๆนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ได้แก่ โปรตีนทีมีกรดอะมิโนเมธิโอนีน ถ้าจะเปรียบเทียบกับถั่วเหลืองละก็งามีมากกว่า และในน้ำมันงาที่มีอยู่ในเมล็ดงายังเป็นกรดไขมันฃนิดไม่อิ่มตัวสูง อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 และที่สำคัญยังมีกรดไขมันไลโนเลอิก ที่จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงาสวย ผิวพรรณชุ่มชื้น หมุ่มสาวคงจะชอบใจกันเป็นแน่

ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ งามีแคลเซียมมากว่านมวัวถึง 6 เท่า มีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น แมกนีเฃียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเฃียม และทองแดง

มีวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านการเกิดโรงมะเร็ง

มีวิตามินบีหลายชนิดด้วยกัน ที่ทำหน้าที่บำรุงระบบประสาท

แล้วเราจะทานกันแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

ถ้าเป็นวัยหนุ่ม สาว ก็ให้ทานวันละประมาณ 3-4 ช้อน แต่ถ้าเริ่มเข้าวัยทอง ให้ทานกัน 6- 9 ช้อน การจะทานงาให้ได้คุณค่านั้น จะต้องเคี้ยวให้เมล็ดงาแตก หรือคั่วบดก็ได้ ร่างกายจะได้ดูดซึมแร่ธาตุ และวิตามินทั้งหมดได้ ถ้าเราเคี้ยวไม่แตกเมล็ดงาก็จะถูกขับออกมาแบบไม่ได้ประโยชน์

วิธีการคั่วงาให้ได้คุณค่า

คั่วงาที่ไฟอ่อนๆ อย่าให้ไฟแรงเกินไป คั่วไปสักพักก็ให้ยกกระทะออกแล้วคั่วนอกไฟสักพัก แล้วจึงคั่วต่อที่ไฟจนพอได้กลิ่นหอมงา ยกออกจากไฟลองชิมดูว่างาไม่ขมและกรอบดีแล้วก็เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย เทงาที่คั่วใส่จานแบบกว้างๆ หรือถาด ผึ่งให้งาหายร้อน จึงนำมาบดด้วยครกหิน หรือเครื่องบดก็ได้แต่ควรจะบดแค่พอเมล็ดงาแตกอย่าบดจนป่นละเอียด เราก็จะก็จะได้งาคั่วบดที่หอม เก็บใส่กระปุกไว้ทานกับอาหารได้หลายประเภท เราควรจะคั่วงาในปริมาณไม่มากนัก เพราะถ้าเราคั่วไว้มากๆ จะทำให้งาไม่หอมและเหม็นหืน

การคั่วงาด้วยไฟแรงจะทำให้งาไหม้ก่อนที่งาจะสุกหอม เมื่อคั่วงาเสร็จใหม่ๆแล้วนำมาบดเลยก็จะทำให้งาเป็นน้ำมัน

เทคนิคอร่อยแบบไม่ต้องอด

เทคนิคอร่อยแบบไม่ต้องอด


เทคนิคอร่อยแบบไม่ต้องอด

เทคนิคอร่อยแบบไม่ต้องอด ด้วยการ “ลดขนาด”
อาหารยุคใหม่ ทำร้ายด้วย “ขนาด” ไม่ต้องทนอดแต่ใช้เทคนิค “ลดไซส์” เพื่อยืดชีวิต 

กาแฟแก้วยักษ์

ข้าวโพดคั่วถังใหญ่

แฮมเบอร์เกอร์ซุปเปอร์ไซส์

ฯลฯ

อาหารการกินยุคใหม่มีขนาดที่น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ บางอย่างเป็นขนาดที่น่าสะพรึงทีเดียว อย่างพิซซ่าถาดยักษ์หรือข้าวโพดคั่วที่อยู่ในภาชนะขนาด “กาละมัง”

กลั้วคอด้วยน้ำอัดลมขวดลิตร

เอื๊อก…

ปัญหาเรื่องโรคอ้วนที่บ้านเรากำลังรณรงค์กันอยู่ส่วนหนึ่งจะจัดการได้ก็ด้วยการ “คุมขนาด” ครับ ผมทำรายการเกี่ยวกับปัญหาโรคอ้วนโดยเฉพาะร่วมกับกองถ่ายของไทยพีบีเอสมาช้านาน พวกเรารู้กันดีว่าปัญหาอ้วนในเด็กและผู้ใหญ่ไทยมาจาก “น้ำหวาน” ส่วนหนึ่ง

อีกส่วนมาจาก “ขนาดอาหาร” ครับ

ซึ่งก็คือปริมาณที่มากเกินพอดี ทั้งจากอาหารและเครื่องดื่มครับ เพราะโดยมากแล้วการสั่งอาหารมารับประทานต่อ 1 ส่วนนั้นเรามักจะพยายามรับประทานให้หมดโดยไม่รู้ตัวว่านั่นมันเยอะเกินไปสำหรับหนึ่งคน

ด้วยกลไกการขายที่มาเนียนๆ

10 เทคนิคอดด้วยการ “ลดขนาด”

ในการที่คนคนหนึ่งจะอ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายนัก ต้องเริ่มจากกินน้ำตาลชนิด “ฟรุกโตส” ให้มากๆไว้ก่อน แล้วตามด้วย “ปริมาณ” ที่มากขนาดที่ปกติไม่กินกัน

น้ำอัดลมรีฟิลแก้วยักษ์

พิซซ่าถาดโตแทบลงไปนอนได้

หรือกินอาหารแบบเพิ่มขนาดพิเศษพร้อมปรุงรสอย่างสนุกมือ

อย่างนี้ก็จะได้ทั้งพุงและโรคมาสมใจในเวลาไม่นานครับ มีเทคนิครับประทานอาหารให้อร่อยได้ตามใจแต่ไม่อ้วนมาฝาก ถ้าอยากลองทำขอให้เริ่มดังต่อไปนี้ครับ

1. ลดกล่องใหญ่ ใช้กล่องเล็ก ได้แก่พวก “เครื่องดื่ม” ครับ ทั้งนม,น้ำผลไม้และน้ำอัดลม ขอให้เลือกซื้อขนาดเล็กไว้แทนที่จะซื้อกล่องใหญ่เพราะอาศัยความคุ้มเพราะมันจะทำให้กลุ้มทีหลังจากการกะปริมาณที่แสนลำบากจากของกล่องใหญ่ เผลอๆกินไปเดี๋ยวเดียวหมดกล่องใหญ่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เลยอยากย้ำให้เลือกซื้อหาของกินที่เป็นหน่วยเล็กๆเข้าไว้ ขอให้ทำใจกับราคาที่เพิ่มขึ้นไม่กี่บาทดีกว่าถึงฆาตเพราะเผลอกินมากไม่รู้ตัวครับ

2. ไม่เพิ่มห้าบาท ความสามารถอย่างหนึ่งของร้านสะดวกซื้อหรือฟาสต์ฟู้ดคือสามารถดึงเงินเล็กๆน้อยๆออกจากกระเป๋าของเราได้ต่ออีกจากการยื่นข้อเสนอเพิ่มขนาด,เติมท็อปปิ้ง,แลกซื้อขนมถุงเล็กถุงน้อย แม้จะเป็นเหรียญบาท 5 บาทหรือ 10 บาท สิ่งที่ดูเป็นเศษเงินเล็กน้อยนี้รวมกันเข้าเป็นเม็ดเงินมหาศาลสำหรับธุรกิจได้มากเลยครับและในทางกลับกันมันก็เป็นการซื้อปัญหาสุขภาพที่ราคาแพงสุดสำหรับคนกิน

3. ช่วยชาติประหยัดข้าว ถ้าอาหารหลักของเราคือข้าว 1 จานต่อมื้อ ขอให้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เราอาจหาทางลดการบริโภคลงกว่าเดิมได้บ้างครับ เพราะข้าวที่มากเกินไปทำให้ร่างกาย “หิวเร็ว” และที่สำคัญคือเสี่ยง “ได้แป้งเกิน” จากการเพลินกินข้าว ขอให้ท่านลองลดลงสักมื้อละช้อนสองช้อนก่อนแล้วเปลี่ยนเป็นแป้งอย่างอื่นบ้างก็จะดีครับ

4. ไม่เฝ้ากินซ้ำ การจะลดหุ่นให้ได้มีข้อสำคัญประการหนึ่งคือการไม่กินอาหารซ้ำซากครับ การรับประทานแต่เมนูโปรดบ่อยไปจะทำให้ได้ปริมาณสารอาหารซ้ำๆที่บางอย่างไปสะสมทำอันตรายกับร่างกายได้ ทำให้เพิ่มรอบเอว ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินสุลิน ทำให้เกิดสารพิษสะสมฯลฯ ดังนั้นถ้าชอบอะไรก็ขอให้แบ่งกินอย่างหลากหลายจะดีที่สุดครับ

5. ย้ำทีละชาม อาหารอะไรๆก็มักมาทีละชามทีละจานอยู่แล้ว แต่บางครั้งพอมันอร่อยติดใจเราก็สั่งเสกให้มันมีชามที่สองต่อมา การรับประทานเบิ้ลเช่นนี้จะทำให้สุขภาพยับเยินโดยง่ายครับ เพราะความที่ติดนิสัยกินชามเดียวไม่อิ่ม ถ้าอยากกินอร่อยโดยไม่เสียสุขภาพขอให้พยายามเตือนตัวเองไว้ให้พอใจกับ “ชามเดียว” ก่อนครับ

6. ต้องถามก่อนปรุง คือดูว่าเชฟเขาได้ปรุงมาอย่าง “พอดี” แล้วหรือยัง ขออย่าตั้งหน้า “เติม” เปรี้ยว,เผ็ด,เค็ม,หวานฯลฯไปเสียก่อนที่จะได้ลิ้มรสครับเพราะรสที่ปรุงเข้าไปนอกจากทำให้เสียรสชาติเดิมแล้วยังทำให้ “เสียโอกาส” รับรสอร่อยของน้ำซุปที่เขาอุตส่าห์เคี่ยว หรือเนื้อเน้นๆของอาหารนั้นแบบที่ไม่มีการเติมแต่งใดๆเข้าไปให้เสียธรรมชาติเดิม

7. ลดยุ่งบุฟเฟ่ต์ อาหารแบบกินตามใจปากจนอิ่มหรือการเข้าหาบุฟเฟ่ต์ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นวันหยุดสุดสัปดาห์จะพาให้กระเพาะติดการกินจุไปโดยปริยาย เสียดายสุขภาพที่ถูกทอนลงมาทุกครั้งที่รับประทานอาหารประเภทนี้ครับ ท่านที่มีจิตใจกล้าแข็งมากจะไม่อยากทานอาหารจำพวกนี้เพราะมันเสี่ยงที่จะทำให้ต้องทานเยอะเกินจำเป็น คนกินเป็นส่วนใหญ่จะรับประทานแบบเอา “คุณภาพ(สุขภาพ)” มากกว่า “ปริมาณ” ครับ

8. อย่าเทน้ำมัน การบริโภคน้ำมันอย่างจริงจังเริ่มตั้งแต่ตั้งกะทะเจียวไข่แล้วราดน้ำมันโดยตรงลงจากขวด วิธีนี้แสนปวดใจครับทำให้เรารับประทานน้ำมันกันอย่างฟุ่มเฟือยเกินไปต่อไข่แค่ใบเดียวหรือสองใบ แต่ถ้าใช้วิธีเอาช้อนมาตักน้ำมันใส่ในกะทะแทนหรือใช้แปรงจุ่มน้ำมันทากะทะแทนก็จะช่วยให้กะปริมาณน้ำมันได้ไม่ทำร้ายสุขภาพด้วยการ “เท” อย่างสะดวกมือครับ

9. สำคัญดูหน่วย(บริโภค) อย่าลืมดูฉลากอาหารทุกครั้ง อย่างในปัจจุบันก็ได้ทำฉลากไว้ให้ดูง่ายหน้าซองอาหารอยู่แล้วแยกเป็นภาษาง่ายๆอย่างน้ำตาล,น้ำมัน,เกลือฯลฯ ทำให้ผู้บริโภคได้ทราบ แต่เรื่องสุดท้ายที่ต้องตระหนักไว้ให้ดีคือ “หน่วยบริโภค” ที่ทำให้เราได้รับสารอาหารเกินจนอ้วนหรือไม่เพราะในขนม 1 ซองหรือน้ำ 1 ขวดอาจแบ่งเป็นหลายหน่วยบริโภค หรือพูดง่ายๆคือเราไม่ควรกินหมดขวดในคราวเดียวเป็นต้น

10. ช่วยลดน้ำตาล สำคัญสุดเพราะร้ายสุดครับ เรื่องของน้ำตาลเป็นตัวการบ่อนทำลายสุขภาพคนไทยอย่างมากมายโดยเฉพาะตัวร้ายอย่าง “ฟรุกโตส” บางครั้งฉลากอาจไม่ใช้คำว่าน้ำตาลตรงๆแต่เลี่ยงไปใช้คำว่า “น้ำเชื่อมข้าวโพด” หรือคอร์นไซรัปซึ่งฟังดูแสนดีทว่ามีเบื้องหลังน่าชังกว่าที่คิดครับ เพราะมันก็คือฟรุกโตสไซรัปนั่นเองที่เป็นตัวพอกพุง,เพิ่มเบาหวานและล้างผลาญสุขภาพของเราอย่างน่าใจหายครับ

ทั้ง 10 วิธีนี้สามารถสรุปลงมาได้ง่ายๆก็คือ “ลดปริมาณ” ลง จะตรงที่ลดขนาด ลดไซส์ของอาหารและเครื่องดื่ม หรือลดการตามใจปากลงก็ได้ ถือว่าเป็นการช่วยลดไซส์อย่างใส่ใจสุขภาพทั้งสิ้น

นี่เองคือความสำคัญของ “ขนาด” อาหารครับ

ขนาดหรือปริมาณของอาหารมีความเกี่ยวพันกับขนาดรูปร่างของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ การใช้วิธีการกินโดยลดขนาดลงจะทำให้ท่านยังคงมีความสุขกับอาหารที่ชื่นชอบต่อไปได้โดยไม่เสี่ยงต่อการโต(ออกข้าง)ไวเกินไปนัก

อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการสั่ง(พิเศษ)เพิ่มขนาดอาหารเลยครับ

โดย น.พ.กฤษดา ศิรามพุช

วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

รูปภาพ : วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ก็มักจะเกิดปัญหาของข้อกระดูกหลังเสื่อม ตั้งแต่กระดูกช่วงคอ กระดูกช่วงอก จรดกระดูกบั้นเอว ตลอดจนข้อต่อของแขนขา สัญญาณที่ข้อต่อของกระดูกเริ่มเสื่อม คือ อาการปวดข้อซึ่งเริ่มปรากฏชัดขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น การที่ข้อต่อเริ่มเสื่อมในอายุ 40 ปีขึ้นไปนั้น ความจริงเป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับสัจธรรมที่ตราบใดมีสิ่งมีชีวิต มนุษย์ย่อมต้องมีการแก่เจ็บและตายในที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเราใช้ข้อต่อเหล่านี้อย่างไม่ปรานีในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เรากระโดดโลดเต้นไม่หยุดยั้ง นั่งตัวเบี้ยวในท่าใดท่าหนึ่งนานนับเป็นชั่วโมง ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานในการขายของหรือสอนหนังสือหรือทำงานต่างๆ เขียนหนังสือในท่าก้มเกือบทั้งวัน

ลองนึกว่า ถ้าร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ เมื่อซื้อมาใหม่ๆ ไม่ถึง 2 ปีย่อมเริ่มมีการซ่อมแซม และถ้ารถยนต์คันนั้นมีอายุถึง 10 ปี 20 ปี คงมีสภาพเสื่อมโทรมจนยากที่จะซ่อมแซมยกเครื่องอีกต่อไป แต่เหตุไฉนร่างกายของเราจึงเริ่มมีอาการเสื่อมเมื่ออายุเข้าสู่วัยกลางคนเล่า ถ้ามิใช่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ร่างกายจึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสิ่งที่ใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายอยู่ได้นานนับ 40 ปี และยังจะต้องอยู่ต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี 80 ปี หรืออาจถึง 100 ปีก็ได้ ถ้าความสามารถในการซ่อมแซมยังคงดำเนินกันต่อๆ ไปได้

การที่ข้อต่อเสื่อมเร็วกว่าปกตินั้น เกิดจากการใช้ข้อต่อเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง มีท่าทางและอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในท่าทำงาน ข้อต่อ ประกอบด้วยปลายกระดูกแข็ง 2 ชิ้นที่มีกระดูกอ่อนบุอยู่มาชนกัน โดยมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อและภายในพังผืดหุ้มข้อ คอยให้อาหารและป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อนั้น กระดูกอ่อนทำหน้าที่รองรับน้ำหนักเช่นเดียวกันกับโช๊คอัพของรถยนต์ และเนื่องจากไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง แก๊สออกซิเจนและอาหารต่างๆต้องอาศัยการซึมผ่านน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อเข้าไป การซึมผ่านของอาหารนั้นต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้นอย่างสม่ำเสมอและไม่หักโหมเกินไป ดังนั้น การที่ข้อต่ออยู่นิ่งๆ ข้อต่อจะเสื่อมเร็วขึ้นเพราะขาดอาหาร หรืออีกประการหนึ่ง ถ้าน้ำหนักตัวไปกดข้อต่อมากเกินไป อาหารต่างๆ จะไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน การบริหารข้อต่อต่างๆทั่วร่างกายสามารถทำได้ทุกชั่วโมง โดยทำครั้งละ 5 นาทีเท่านั้น วิธีการที่ควรปฏิบัติตามมี ดังนี้ 
 

1. ส่วนที่บริหาร : คอ

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงคอ ซ้าย – ขวา

2. ก้มลงให้คางชิดอกแล้วเงยหน้าขึ้น (เท่าที่ทำได้โดยไม่รู้สึกปวดต้นคอ)

3. หันหน้าไปทางไหล่ ซ้าย – ขวา

4. หมุนศีรษะเป็นวงกลม โดยหันหน้าไปทางไหล่ซ้าย เงยหน้าขึ้น แล้วหมุนศีรษะไปทางไหล่ขวา ก้มคอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมุนสลับข้างกัน

5. ยื่นคอและคางไปข้างหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเก็บคางเข้า

จำนวน : แต่ละท่าทำ 5-10 ครั้ง


2. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และสะบัก

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง นิ้วมือแตะอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง

ท่าบริหาร : หมุนไหล่โดยยกขึ้นงุ้มมาข้างหน้า ปล่อยไหล่ลงแล้วแบะไปข้างหลัง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


3. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และแขน

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร : หมุนต้นแขนไขว้เข้ามาอยู่ด้านหน้า กำมือ กระดกข้อมือลง พร้อมกับหายใจออกช้าๆ แล้วหมุนต้นแขนออก กางแขน เหยียดข้อศอกกระดกข้อมือขึ้น กางนิ้วมือทั้ง 5 พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ

จำนวน : ทำข้างละ 5-10 ครั้ง

 
4. ส่วนที่บริหาร : บั้นเอว

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงตัว ซ้าย – ขวา โดยเอามือเท้าสะเอวข้างที่เอียงไป แขนอีกข้างหนึ่งชูเหนือศีรษะ

2. มือทั้งสองข้างอยู่บริเวณสะโพกด้านหลัง แอ่นลำตัวไปข้างหลังเต็มที่

จำนวน : ทำท่าละ 5-10 ครั้ง

 
5. ส่วนที่บริหาร : สะโพกและขา

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง มือเท้าสะเอว หรือจับโต๊ะ

ท่าบริหาร : งอข้อสะโพก หุบขาเข้า หมุนขาออก งอเข่า กระดกปลายเท้าขึ้นแล้วเหยียดข้อสะโพก กางขาออก หมุนขาเข้า เหยียดเข่ากระดกปลายเท้าลง

จำนวน : 5-10 ครั้ง
 

6. ส่วนที่บริหาร : กระดูกสันหลัง ส่วนคอ อก และเอว

ท่าเริ่มต้น : นั่งเก้าอี้

ท่าบริหาร : นั่งหลังโกง (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 0%) จากนั้นให้นั่งยืดตัวและแอ่นตัวเต็มที่ (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 100%) แล้วหย่อนตัวลงหน่อย (110%) พร้อมเก็บคางเข้า

จำนวน : 5-10 ครั้ง

สำหรับท่านั่งที่เหมาะสม คือ จากท่านั่งแบบ 100% แล้วหย่อนตัวลงมาเล็กน้อย

http://www.doctor.or.th/article/detail/4459

วิธีทำให้ข้อกระดูกเสื่อมช้าลง

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยกลางคน ก็มักจะเกิดปัญหาของข้อกระดูกหลังเสื่อม ตั้งแต่กระดูกช่วงคอ กระดูกช่วงอก จรดกระดูกบั้นเอว ตลอดจนข้อต่อของแขนขา สัญญาณที่ข้อต่อของกระดูกเริ่มเสื่อม คือ อาการปวดข้อซึ่งเริ่มปรากฏชัดขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น การที่ข้อต่อเริ่มเสื่อมในอายุ 40 ปีขึ้นไปนั้น ความจริงเป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับสัจธรรมที่ตราบใดมีสิ่งมีชีวิต มนุษย์ย่อมต้องมีการแก่เจ็บและตายในที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากเราใช้ข้อต่อเหล่านี้อย่างไม่ปรานีในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เรากระโดดโลดเต้นไม่หยุดยั้ง นั่งตัวเบี้ยวในท่าใดท่าหนึ่งนานนับเป็นชั่วโมง ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานในการขายของหรือสอนหนังสือหรือทำงานต่างๆ เขียนหนังสือในท่าก้มเกือบทั้งวัน

ลองนึกว่า ถ้าร่างกายเปรียบเสมือนเครื่องจักรหรือรถยนต์ เมื่อซื้อมาใหม่ๆ ไม่ถึง 2 ปีย่อมเริ่มมีการซ่อมแซม และถ้ารถยนต์คันนั้นมีอายุถึง 10 ปี 20 ปี คงมีสภาพเสื่อมโทรมจนยากที่จะซ่อมแซมยกเครื่องอีกต่อไป แต่เหตุไฉนร่างกายของเราจึงเริ่มมีอาการเสื่อมเมื่ออายุเข้าสู่วัยกลางคนเล่า ถ้ามิใช่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ร่างกายจึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสิ่งที่ใหม่ขึ้นมาทดแทนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายอยู่ได้นานนับ 40 ปี และยังจะต้องอยู่ต่อไปจนถึงอายุ 70 ปี 80 ปี หรืออาจถึง 100 ปีก็ได้ ถ้าความสามารถในการซ่อมแซมยังคงดำเนินกันต่อๆ ไปได้

การที่ข้อต่อเสื่อมเร็วกว่าปกตินั้น เกิดจากการใช้ข้อต่อเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง มีท่าทางและอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในท่าทำงาน ข้อต่อ ประกอบด้วยปลายกระดูกแข็ง 2 ชิ้นที่มีกระดูกอ่อนบุอยู่มาชนกัน โดยมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อและภายในพังผืดหุ้มข้อ คอยให้อาหารและป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อนั้น กระดูกอ่อนทำหน้าที่รองรับน้ำหนักเช่นเดียวกันกับโช๊คอัพของรถยนต์ และเนื่องจากไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง แก๊สออกซิเจนและอาหารต่างๆต้องอาศัยการซึมผ่านน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อเข้าไป การซึมผ่านของอาหารนั้นต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้นอย่างสม่ำเสมอและไม่หักโหมเกินไป ดังนั้น การที่ข้อต่ออยู่นิ่งๆ ข้อต่อจะเสื่อมเร็วขึ้นเพราะขาดอาหาร หรืออีกประการหนึ่ง ถ้าน้ำหนักตัวไปกดข้อต่อมากเกินไป อาหารต่างๆ จะไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปทำให้ข้อต่อเสื่อมเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน การบริหารข้อต่อต่างๆทั่วร่างกายสามารถทำได้ทุกชั่วโมง โดยทำครั้งละ 5 นาทีเท่านั้น วิธีการที่ควรปฏิบัติตามมี ดังนี้


1. ส่วนที่บริหาร : คอ

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงคอ ซ้าย – ขวา

2. ก้มลงให้คางชิดอกแล้วเงยหน้าขึ้น (เท่าที่ทำได้โดยไม่รู้สึกปวดต้นคอ)

3. หันหน้าไปทางไหล่ ซ้าย – ขวา

4. หมุนศีรษะเป็นวงกลม โดยหันหน้าไปทางไหล่ซ้าย เงยหน้าขึ้น แล้วหมุนศีรษะไปทางไหล่ขวา ก้มคอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมุนสลับข้างกัน

5. ยื่นคอและคางไปข้างหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเก็บคางเข้า

จำนวน : แต่ละท่าทำ 5-10 ครั้ง


2. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และสะบัก

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง นิ้วมือแตะอยู่ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง

ท่าบริหาร : หมุนไหล่โดยยกขึ้นงุ้มมาข้างหน้า ปล่อยไหล่ลงแล้วแบะไปข้างหลัง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


3. ส่วนที่บริหาร : ไหล่และแขน

ท่าเริ่มต้น : นั่งหรือยืนตรง

ท่าบริหาร : หมุนต้นแขนไขว้เข้ามาอยู่ด้านหน้า กำมือ กระดกข้อมือลง พร้อมกับหายใจออกช้าๆ แล้วหมุนต้นแขนออก กางแขน เหยียดข้อศอกกระดกข้อมือขึ้น กางนิ้วมือทั้ง 5 พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ

จำนวน : ทำข้างละ 5-10 ครั้ง


4. ส่วนที่บริหาร : บั้นเอว

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง

ท่าบริหาร :

1. เอียงตัว ซ้าย – ขวา โดยเอามือเท้าสะเอวข้างที่เอียงไป แขนอีกข้างหนึ่งชูเหนือศีรษะ

2. มือทั้งสองข้างอยู่บริเวณสะโพกด้านหลัง แอ่นลำตัวไปข้างหลังเต็มที่

จำนวน : ทำท่าละ 5-10 ครั้ง


5. ส่วนที่บริหาร : สะโพกและขา

ท่าเริ่มต้น : ยืนตรง มือเท้าสะเอว หรือจับโต๊ะ

ท่าบริหาร : งอข้อสะโพก หุบขาเข้า หมุนขาออก งอเข่า กระดกปลายเท้าขึ้นแล้วเหยียดข้อสะโพก กางขาออก หมุนขาเข้า เหยียดเข่ากระดกปลายเท้าลง

จำนวน : 5-10 ครั้ง


6. ส่วนที่บริหาร : กระดูกสันหลัง ส่วนคอ อก และเอว

ท่าเริ่มต้น : นั่งเก้าอี้

ท่าบริหาร : นั่งหลังโกง (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 0%) จากนั้นให้นั่งยืดตัวและแอ่นตัวเต็มที่ (เปรียบเป็นท่านั่งแบบ 100%) แล้วหย่อนตัวลงหน่อย (110%) พร้อมเก็บคางเข้า

จำนวน : 5-10 ครั้ง

สำหรับท่านั่งที่เหมาะสม คือ จากท่านั่งแบบ 100% แล้วหย่อนตัวลงมาเล็กน้อย

มันฝรั่ง...กินแต่พอดีก็มีประโยชน์

มันฝรั่ง...กินแต่พอดีก็มีประโยชน์

รูปภาพ : มันฝรั่ง...กินแต่พอดีก็มีประโยชน์

อาหารทุกอย่างมีประโยชน์ในตัวเอง บางอย่างไม่มีโทษด้วยซ้ำ แต่ถ้ารับประทานมากเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการหรือบริโภคเกิน แทนที่จะได้ประโยชน์ก็จะกลายเป็นผลเสียทันที เช่นเดียวกับมันฝรั่งที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตล้วน ๆ ถ้ากินมากเกินผลที่เห็นชัดที่สุดก็ อ้วน

มันฝรั่งไม่แค่เป็นอาหารที่ทำให้อิ่มท้องได้ดีเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก และไม่ใช่มีแค่คาร์โบไฮเดรตอย่างที่เข้าใจ เพราะเห็นว่าเป็นแป้งเป็นมันทั้งหัว

สารอาหารในมันฝรั่ง
-มันฝรั่ง 100 กรัม สามารถให้พลังงานจากสารอาหารประเภทโปรตีนได้ถึง 85 แคลอรี่ และมีสารอาหารชนิดอื่นอีก 
-ในกลุ่มแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดโฟลิก 
-ส่วนกลุ่มวิตามินที่ได้ ก็จะมีทั้ง วิตามิน ซี บี-1 และบี 2 

การมีสารอาหารประกอบมากมายหลายชนิด ทำให้ทหารเรือสมัยก่อน นิยมตุนมันฝรั่งเป็นเสบียงเพื่อบริโภคจำนวนมาก ข้อดีของมันฝรั่งเก็บง่ายและเก็บไว้ได้นาน เหมาะกับการเก็บตุนเป็นเสบียงได้อย่างดี 

ปัจจุบันมันฝรั่งมีการนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายเมนู ทั้งทอด ปิ้ง อบ บด และต้ม เพื่อทานคู่กับอาหารจานหลัก เปรียบเหมือนคนไทยกินอะไรก็จะต้องมีข้าวเป็นหลักนั่นเอง

โดยเฉพาะเมนูสเต็ก ปัจจุบันมีการดัดแปลงรูปแบบมันฝรั่งให้สวยงาม หลากหลาย เริ่มแบบดั้งเดิมที่หั่นเป็นแท่ง สไลท์ ทำเป็นเสี้ยว หรือบด เพื่อให้เข้ากับหน้าตาอาหารในแต่ละเมนู บางคนเอามาสลักเป็นรูปดอกกุหลาย ตกแต่งจานอาหารได้ทั้งศิลปะและความอร่อย และที่เป็นพระเอกคู่กับจานสเต็กตลอดกาลก็ต้องยกให้ Roast Potato มันฝรั่งที่ปรุงด้วยเนยชนิดจืด เกลือ พริกไทย โรสแมรี่ หอมใหญ่ น้ำมันมะกอก ให้รสชาติที่หอมอร่อยเป็นอาหารทานเล่นที่ทานได้เพลินจนลืมอ้วนกันเลย

 ไข่เจียวมันฝรั่ง ~

ส่วนผสม
• มันฝรั่ง 500 กรัม
• ไข่ไก่ 2 ฟอง
• กระเทียมสับละเอียด 6 กลีบ
• ผักชีสับละเอียด(ไม่ใช้ราก) 1 ช้อนโต๊ะ
• เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
• น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นำมันฝรั่ง มาปอกเปลือก ล้างน้ำ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไป เมื่อร้อน นำมันฝรั่งลงไปทอดให้เหลืองแล้วตักขึ้น พักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน
3. ในกระทะเดียวกัน เทน้ำมันออก เหลือติดไว้เล็กน้อย แล้วนำผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ ใส่ลงไป คนให้สุกทั่วกัน
4. นำมันฝรั่งทอด ที่พักไว้ใส่ลงไปในกระทะ ตามด้วยใส่เนยสด ลงไปข้างๆมันฝรั่งวนไปรอบๆ เพื่อให้เนยละลายเข้าไปในมันฝรั่งเสียก่อน จึงเทไข่ที่ตีจนขึ้นฟูไว้แล้ว ลงไปให้กลบมันฝรั่ง กะว่าพอเหลืองค่อยกลับพลิกอีกด้านให้เหลือง
5. ตักขึ้นใส่จาน เสิร์ฟกับซอสมะเขือเทศ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

http://www.todayhealth.org

http://happyfoodathome.blogspot.com/2009/05/blog-post_8365.html

มันฝรั่ง...กินแต่พอดีก็มีประโยชน์

อาหารทุกอย่างมีประโยชน์ในตัวเอง บางอย่างไม่มีโทษด้วยซ้ำ แต่ถ้ารับประทานมากเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการหรือบริโภคเกิน แทนที่จะได้ประโยชน์ก็จะกลายเป็นผลเสียทันที เช่นเดียวกับมันฝรั่งที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตล้วน ๆ ถ้ากินมากเกินผลที่เห็นชัดที่สุดก็ อ้วน

มันฝรั่งไม่แค่เป็นอาหารที่ทำให้อิ่มท้องได้ดีเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก และไม่ใช่มีแค่คาร์โบไฮเดรตอย่างที่เข้าใจ เพราะเห็นว่าเป็นแป้งเป็นมันทั้งหัว

สารอาหารในมันฝรั่ง
-มันฝรั่ง 100 กรัม สามารถให้พลังงานจากสารอาหารประเภทโปรตีนได้ถึง 85 แคลอรี่ และมีสารอาหารชนิดอื่นอีก
-ในกลุ่มแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดโฟลิก
-ส่วนกลุ่มวิตามินที่ได้ ก็จะมีทั้ง วิตามิน ซี บี-1 และบี 2

การมีสารอาหารประกอบมากมายหลายชนิด ทำให้ทหารเรือสมัยก่อน นิยมตุนมันฝรั่งเป็นเสบียงเพื่อบริโภคจำนวนมาก ข้อดีของมันฝรั่งเก็บง่ายและเก็บไว้ได้นาน เหมาะกับการเก็บตุนเป็นเสบียงได้อย่างดี

ปัจจุบันมันฝรั่งมีการนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายเมนู ทั้งทอด ปิ้ง อบ บด และต้ม เพื่อทานคู่กับอาหารจานหลัก เปรียบเหมือนคนไทยกินอะไรก็จะต้องมีข้าวเป็นหลักนั่นเอง

โดยเฉพาะเมนูสเต็ก ปัจจุบันมีการดัดแปลงรูปแบบมันฝรั่งให้สวยงาม หลากหลาย เริ่มแบบดั้งเดิมที่หั่นเป็นแท่ง สไลท์ ทำเป็นเสี้ยว หรือบด เพื่อให้เข้ากับหน้าตาอาหารในแต่ละเมนู บางคนเอามาสลักเป็นรูปดอกกุหลาย ตกแต่งจานอาหารได้ทั้งศิลปะและความอร่อย และที่เป็นพระเอกคู่กับจานสเต็กตลอดกาลก็ต้องยกให้ Roast Potato มันฝรั่งที่ปรุงด้วยเนยชนิดจืด เกลือ พริกไทย โรสแมรี่ หอมใหญ่ น้ำมันมะกอก ให้รสชาติที่หอมอร่อยเป็นอาหารทานเล่นที่ทานได้เพลินจนลืมอ้วนกันเลย

ไข่เจียวมันฝรั่ง ~

ส่วนผสม
• มันฝรั่ง 500 กรัม
• ไข่ไก่ 2 ฟอง
• กระเทียมสับละเอียด 6 กลีบ
• ผักชีสับละเอียด(ไม่ใช้ราก) 1 ช้อนโต๊ะ
• เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
• น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. นำมันฝรั่ง มาปอกเปลือก ล้างน้ำ แล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไป เมื่อร้อน นำมันฝรั่งลงไปทอดให้เหลืองแล้วตักขึ้น พักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน
3. ในกระทะเดียวกัน เทน้ำมันออก เหลือติดไว้เล็กน้อย แล้วนำผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ ใส่ลงไป คนให้สุกทั่วกัน
4. นำมันฝรั่งทอด ที่พักไว้ใส่ลงไปในกระทะ ตามด้วยใส่เนยสด ลงไปข้างๆมันฝรั่งวนไปรอบๆ เพื่อให้เนยละลายเข้าไปในมันฝรั่งเสียก่อน จึงเทไข่ที่ตีจนขึ้นฟูไว้แล้ว ลงไปให้กลบมันฝรั่ง กะว่าพอเหลืองค่อยกลับพลิกอีกด้านให้เหลือง
5. ตักขึ้นใส่จาน เสิร์ฟกับซอสมะเขือเทศ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

การเลือกซื้อยาแผนโบราณอย่างไรให้ปลอดภัย

การเลือกซื้อยาแผนโบราณอย่างไรให้ปลอดภัย

รูปภาพ : การเลือกซื้อยาแผนโบราณอย่างไรให้ปลอดภัย

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาแผนโบราณ ขอแนะนำวิธีการเลือก ซื้อยาแผนโบราณ ดังนี้

1.ควรซื้อยาแผนโบราณจากร้านขายยาที่มีใบอนุญาตและมีเลขทะเบียนตำรับยา
2.ไม่ควรซื้อยาแผนโบราณจากรถเร่ขาย เพราะอาจได้รับยาที่ผลิตขึ้นโดยผู้ผลิตที่ไม่ได้ มาตรฐานซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในระหว่างการผลิตอาจทำให้เกิดอันตรายต่อ ผู้บริโภคได้
3.ก่อนซื้อยาแผนโบราณ ควรตรวจดูฉลากยาทุกครั้ง ว่ามีข้อความดังกล่าวนี้หรือไม่
ฉลากต้องมีข้อความสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

•ชื่อยา
•เลขที่หรือรหัสใบสำคัญการขึ้นทะเบียนยา ซึ่งก็คือเลขทะเบียนตำรับยานั่นเอง
•ปริมาณของยาที่บรรจุ
•เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต
• ชื่อผู้ผลิตและจังหวัดที่ตั้งสถานที่ผลิตย า
•วัน เดือน ปี ที่ผลิตยา
•คำว่า “ ยาแผนโบราณ “ ให้เห็นชัดเจน
•คำว่า “ ยาใช้ภายนอก “ หรือ “ ยาใช้เฉพาะที่ “ แล้วแต่กรณี ด้วยอักษรสีแดงเห็นได้ชัดเจน ในกรณีเป็นยาใช้ภายนอก หรือยาใช้เฉพาะที่
•คำว่า “ ยาสามัญประจำบ้าน “ ในกรณีเป็นยาสามัญประจำบ้าน
•คำว่า “ ยาสำหรับสัตว์ “ ในกรณีเป็นยาสำหรับสัตว์
อย่างไรก็ตามในกรณีที่ฉลากบนภาชนะบรรจุยาแ ผนโบราณมีขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ตารางนิ้วลงมา ผู้ผลิตจะได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องแสดง      บางข้อความที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม ฉลากยาแผนโบราณอย่างน้อยจะต้องแสดงข้อความ ชื่อยา  เลขทะเบียนตำรับยา วันเดือนปีที่ผลิตให้ผู้บริโภครับทราบ

วิธีสังเกตเลขทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ มีดังนี้

1.หากเป็นยาแผนโบราณที่ผลิตในประเทศ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร G ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน  G 20 / 55
2.หากเป็นยาแผนโบราณที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร K ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน K 15 / 55
3.หากเป็นยาแผนโบราณที่แบ่งบรรจุ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร H ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน   H 999 / 55

http://www.samunpri.com/?p=5976

การเลือกซื้อยาแผนโบราณอย่างไรให้ปลอดภัย

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาแผนโบราณ ขอแนะนำวิธีการเลือก ซื้อยาแผนโบราณ ดังนี้

1.ควรซื้อยาแผนโบราณจากร้านขายยาที่มีใบอนุญาตและมีเลขทะเบียนตำรับยา
2.ไม่ควรซื้อยาแผนโบราณจากรถเร่ขาย เพราะอาจได้รับยาที่ผลิตขึ้นโดยผู้ผลิตที่ไม่ได้ มาตรฐานซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในระหว่างการผลิตอาจทำให้เกิดอันตรายต่อ ผู้บริโภคได้
3.ก่อนซื้อยาแผนโบราณ ควรตรวจดูฉลากยาทุกครั้ง ว่ามีข้อความดังกล่าวนี้หรือไม่
ฉลากต้องมีข้อความสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

•ชื่อยา
•เลขที่หรือรหัสใบสำคัญการขึ้นทะเบียนยา ซึ่งก็คือเลขทะเบียนตำรับยานั่นเอง
•ปริมาณของยาที่บรรจุ
•เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต
• ชื่อผู้ผลิตและจังหวัดที่ตั้งสถานที่ผลิตย า
•วัน เดือน ปี ที่ผลิตยา
•คำว่า “ ยาแผนโบราณ “ ให้เห็นชัดเจน
•คำว่า “ ยาใช้ภายนอก “ หรือ “ ยาใช้เฉพาะที่ “ แล้วแต่กรณี ด้วยอักษรสีแดงเห็นได้ชัดเจน ในกรณีเป็นยาใช้ภายนอก หรือยาใช้เฉพาะที่
•คำว่า “ ยาสามัญประจำบ้าน “ ในกรณีเป็นยาสามัญประจำบ้าน
•คำว่า “ ยาสำหรับสัตว์ “ ในกรณีเป็นยาสำหรับสัตว์
อย่างไรก็ตามในกรณีที่ฉลากบนภาชนะบรรจุยาแ ผนโบราณมีขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ตารางนิ้วลงมา ผู้ผลิตจะได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องแสดง บางข้อความที่กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม ฉลากยาแผนโบราณอย่างน้อยจะต้องแสดงข้อความ ชื่อยา เลขทะเบียนตำรับยา วันเดือนปีที่ผลิตให้ผู้บริโภครับทราบ

วิธีสังเกตเลขทะเบียนตำรับยาแผนโบราณ มีดังนี้

1.หากเป็นยาแผนโบราณที่ผลิตในประเทศ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร G ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน G 20 / 55
2.หากเป็นยาแผนโบราณที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร K ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน K 15 / 55
3.หากเป็นยาแผนโบราณที่แบ่งบรรจุ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร H ตามด้วยเลขลำดับที่อนุญาต …. / ปี พ.ศ. …. เช่น เลขทะเบียน H 999 / 55